20202 จำนวนผู้เข้าชม |
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยผลการทดสอบสารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัย พบว่า ห้ามใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำมันทาเพิ่มกับถุงยางอนามัย เพราะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ โดยที่น้ำมันพืช ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของถุงยางอนามัยสูงสุด รองลงมาได้แก่ เบบี้ออยล์, ปิโตรเลียม เจลลี่ และบอดี้ โลชั่น ดังนั้นจึงควรใช้สารหล่อลื่นประเภทละลายในน้ำ ได้แก่ เค-วาย เจล หล่อลื่น สูตรน้ำ เนื่องจากไม่มีผลทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของถุงยางอนามัย ไม่ทำลายยางธรรมชาติ
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า โดยทั่วไปถุงยางอนามัยจะมีการเติมสารหล่อลื่นอยู่แล้ว โดยสารหล่อลื่นที่นิยมใช้ในกระบวนการผลิตถุงยางอนามัยคือ ซิลิโคน ออยล์ (Silicone oil) เป็นสารหล่อลื่นที่ละลายในน้ำ ไม่ทำลายคุณภาพเนื้อยาง อย่างไรก็ตาม มาตรฐานถุงยางอนามัย มอก.625-2559 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งอ้างอิงตามมาตรฐานสากล ISO 4074 : 2015 ไม่ได้กำหนดว่าควรจะเติมสารหล่อลื่นในถุงยางอนามัยปริมาณเท่าไร มีกำหนดเพียงวิธีทดสอบปริมาณสารหล่อลื่น ดังนั้นการเติมปริมาณสารหล่อลื่นในถุงยางอนามัยจึงขึ้นอยู่กับผู้ผลิตเป็นผู้กำหนด ส่วนมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้มีปริมาณสารหล่อลื่นในถุงยางอนามัยอยู่ในช่วง 400–600 มิลลิกรัม
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องการหาสารหล่อลื่นเพิ่มเติมเพื่อใช้กับถุงยางอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ขอแนะนำให้ใช้สารหล่อลื่นประเภทใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งจะไม่ทำลายสภาพหรือทำให้คุณภาพถุงยางอนามัยเสียหาย ต่างกับการใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันพืชหรือน้ำมันแร่ เช่น เบบี้ออยล์, น้ำมันทาผิว, ปิโตรเลียม เจลลี่, น้ำมันปรุงอาหาร และน้ำมันชนิดอื่นๆ เนื่องจากจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ แตกง่าย ทำให้ไม่สามารถใช้คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ศึกษาผลกระทบของการทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นชนิดต่าง ๆ ที่ผู้ใช้มีโอกาสนำมาใช้ร่วมกับถุงยางอนามัย โดยพิจารณาความเหนียวและความยืดตัวของยางจากค่าความดันและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย วิธีทดสอบตาม มอก.625-2559 กำหนดชุดควบคุมเป็นถุงยางอนามัยที่ไม่ทาสารหล่อลื่นเพิ่ม ชุดทดลองเป็นถุงยางอนามัยที่ทาสารหล่อลื่นแต่ละชนิดเพิ่ม แยกเป็นสารหล่อลื่นประเภทใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย (water-based lubricant) ได้แก่ เค-วาย เจลหล่อลื่นสูตรน้ำ และสารหล่อลื่นประเภทใช้น้ำมันเป็นตัวทำละลาย (oil-based lubricant) ได้แก่ เบบี้ออยล์, บอดี้ โลชั่น, วาสลีน ปิโตรเลียม เจลลี่ และน้ำมันพืช ได้ทดลองทาสารหล่อลื่นเพิ่มบนถุงยางอนามัยทิ้งไว้เป็นเวลา 5, 10, 30 และ 45 นาที ตามลำดับ แล้วนำไปทดสอบด้วยเครื่องทดสอบความดันและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย
ผลการทดสอบพบว่า เค-วาย เจลหล่อลื่น สูตรน้ำ ไม่มีผลทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของถุงยางอนามัย เนื่องจากเป็นสารหล่อลื่นประเภทละลายในน้ำ ไม่ทำลายพันธะเคมีของยางธรรมชาติ มีค่าความดันและปริมาตรขณะแตกใกล้เคียงกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม สำหรับถุงยางอนามัยที่ทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นประเภทละลายในน้ำมัน พบว่า น้ำมันพืช ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของถุงยางอนามัยสูงสุด รองลงมาได้แก่ เบบี้ออยล์, ปิโตรเลียม เจลลี่ และบอดี้ โลชั่น ตามลำดับ เห็นผลชัดเจนหลังทาทิ้งไว้เพียง 5 นาที เนื่องจากถุงยางอนามัยแตกเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม
นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังมีพิพิธภัณฑ์ถุงยางอนามัย ผู้สนใจสามารถติดต่อเข้าชมได้ที่ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ (อาคาร 9 ชั้น 8) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี โทร.0-2951-0000 ต่อ 99954, 99955 เวลาเข้าชม วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น.