2690 จำนวนผู้เข้าชม |
SEMA ย่อมาจาก Specialty Equipment Market Association เป็นงานโชว์อุปกรณ์แต่งรถจากสำนักแต่งทั่วโลก (Aftermarket) รวมทั้งผู้ผลิตอะไหล่รถยนต์ในส่วนของ OEM (Original Equipment Manufacturers) ตัวเลขบริษัทผู้ร่วมงานล่าสุดอยู่ที่กว่าหกพันบริษัท งานจัดขึ้น ณ เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากในส่วนของอุปกรณ์อัพเกรดรถและสำนักแต่งชั้นนำแล้ว งาน SEMA ยังใช้เป็นที่ปล่อยของ จากบรรดาทีมแข่ง นับตั้งแต่ทีมอิสระ ไล่มาจนถึงทีมจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง ใครมีของดีต้องนำมาโชว์ให้สาวกได้อึ้งกัน
สำหรับ Toyota USA ในงาน SEMA ปี 2017 มีทีเด็ดอยู่หลายคัน แต่ที่เตะตาผู้เข้าชมงานมากที่สุด หนีไม่พ้น ‘C-HR’ ที่พ่วงมาด้วยคำว่า ‘R-Tuned’ เป็นผลงานการอัพเกรดจาก Dan Gardner Spec (DG-Spec Shop) โดยก่อนและหลังการโม รถคันนี้ได้เข้าไปวิ่งทดสอบในสนามแข่ง Willow Springs International Raceway’s (แคลิฟอร์เนีย) ระยะทางรวมต่อรอบอยู่ที่ 2.5 ไมล์ หรือราว 4 กิโลเมตร และเวลาต่อรอบที่ ‘C-HR R-Tuned’ ตัวโมแบบจัดเต็มในทุกองค์ประกอบทำเอาไว้ อยู่ที่ 1:25.22 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่ดีกว่าสายแข็งในวงการอย่าง McLaren 650 S Spyder, Porsche 911 GT3 และ Nissan GT-R NISMO เสียอีก
หัวใจในการโมดิฟลาย ‘C-HR R-Tuned’ อยู่ที่เครื่องยนต์ มันไม่ใช่บล็อก V8 บ้าพลังที่ Toyota มีให้เลือกเล่น ไม่ใช่แม้กระทั่งบล็อก V6 แต่เป็นเครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบ 2.4 ลิตร รหัส ‘2AZ-FE’ เครื่องบ้านๆ ที่เคยประจำการอยู่ใน Camry จากนั้น DG-Spec จับมาโมตามมาตรฐานเครื่องแข่ง ชิ้นส่วนที่ต้องรับแรงมหาศาลจากการจุดระเบิด เปลี่ยนมาใช้เหล็ก Forced อาทิ ก้านสูบ และลูกสูบ สำหรับวาล์วไอดีเปลี่ยนมาใช้สแตนเลสสตีล, สปริงวาล์วและแบริ่งใช้เกรดเดียวกับตัวแข่ง รวมทั้งใช้ไททาเนียม กับอีกหลายชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์
2AZ-FE เดิม ๆ เป็นเครื่องหายใจเอง เมื่อต้องรีดแรงม้า จึงต้องนำเทอร์โบเข้ามาเป็นตัวช่วย ใช้ระบบอัดอากาศจาก Garrette ยกชุด รุ่น ‘GTX3076R Gen II turbo with 1.06 A/R’ บูสต์อากาศเข้าห้องเผาไหม้ได้ในระดับ 23 PSI ชุดท่อร่วมไอดี และท่อร่วมไอเสียจับเปลี่ยนยกชุด เดินสายไฟใหม่ ระบบที่ต้องอัพเกรดตามทั้งหมด ได้แก่ ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของ ECU, ระบบหล่อเย็น, ระบบหล่อลื่น ทั้งหมดเป็นสูตรการทำเครื่องแข่งจาก DG-Spec โดยตรง อัตราส่วนกำลังอัดถูกลงมาที่ 9.0:1 เพื่อให้สอดรับกับบูสต์มหาศาลจากเทอร์โบ ผลลัพธ์สุดท้าย คือ แรงม้าในระดับ 600 hp พร้อมแรงบิดสูงสุด 750 Nm
C-HR R-Tuned ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เช่นเดียวกับ C-HR ตัวสแตนดาร์ด เกียร์ CVT ลูกเดิมถูกยกทิ้ง แทนที่ด้วยเกียร์แมนวล 5 สปีด เฟืองท้ายติดตั้ง ‘OS Giken limited-slip differential’ ช่วยสร้างสมดุลในการกระจายแรงบิดระหว่างล้อขับเคลื่อนทั้ง 2 ฝั่ง โดยเฉพาะขณะรถทะยานออกจากโค้ง
ช่วงล่าง DG-Spec จัดหนักตามสูตร ด้วยชุด Motion Control Suspension (MCS) พร้อมรีโมทที่ปรับแต่งได้จากตำแหน่งผู้ขับ ช่วงล่างด้านหลังสามารถปรับระดับได้ สปริงโหลดใช้ค่า K ระดับเดียวกับรถแข่ง ขณะที่เหล็กกันโคลงปรับค่า K ได้อีก 3 ระดับ ปิดท้ายด้วยเบรกชุดใหญ่จาก Brembo จานเบรกคู่หน้าขยับไปเล่นที่ขนาด 355 มิลลิเมตร มาพร้อมคาลิเปอร์อะลูมีเนียม 4 pot ผ้าเบรกเปลี่ยนมาใช้ racing pad ด้านหน้าและด้านหลัง รองรับความร้อนจากการเบรกอย่างหนักหน่วง ด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า 1,010 และ 800 องศาเซสเซียส ตามลำดับ
ชิ้นส่วนแอร์โร่ไดนามิคบนตัวถัง ‘C-HR R-Tuned’ ถูกเติมเต็มมาอย่างครบถ้วน ตั้งแต่กันชนหน้าไล่เรียงมาจนถึงสปอยเลอร์หลังชิ้นใหญ่ ในความเร็วสูงช่วยสร้างแรงกดตัวถังได้กว่า 136 กิโลกรัม อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. (0-60 mph) ทำได้ที่ 2.9 วินาที สร้างแรง g จากการเร่งได้ในระดับ 1.7g และจากการเบรกได้ถึง 1.2g ทั้งหมดส่งผลให้ ‘C-HR R-Tuned’ เป็นรถในกลุ่ม ‘CUVs’ (Compact Utility Vehicles) ที่ทรงพลัง และเร็วที่สุดในโลกไปเป็นที่เรียบร้อย
ภาพและภาพยนตร์ : TOYOTA USA
เรียบเรียง : Pitak Boon