1206 จำนวนผู้เข้าชม |
ราวปี 1999, BMW ได้สร้างความแตกต่าง ด้วยการเรียก X5 (E53) ซึ่งเป็นรถลุยอเนกประสงค์รุ่นแรกของค่ายว่า ‘SAV’ (Sports Activity Vehicle) เพื่อฉีกตัวออกมาจาก ‘SUV’ (Sport Utility Vehicle) ที่พัฒนามาจากรถตรวจการณ์ในอดีต สาเหตุที่ BMW ใช้ชื่อ ‘SAV’ เพราะต้องการสื่อสาร ถึงความคล่องตัวในการใช้งาน รองรับการขับขี่ในสไตล์สปอร์ตซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ BMW และการสร้างความแตกต่างได้เกิดขึ้นกับ ‘X Family’ อีกครั้ง เริ่มต้นจาก X6 (E71) ที่แตกไลน์ออกมาจาก X5 (E70) แม้จะใช้พื้นฐานร่วมกัน ทว่าจุดที่ X6 แตกต่างกับ X5 อันได้แก่ ช่วงท้ายของหลังคาที่ลาดเทรูปแบบเดียวกับรถคูเป้ ได้สร้างความพิเศษให้กับ X6 ได้อย่างมากมาย นับเป็นจุดเริ่มต้นของรถเอนกประสงค์สายพันธุ์ใหม่ ในรูปแบบที่ BMW เรียกว่า ‘SAC’ (Sport Activity Coupé)
X2 น้องใหม่ในเซกเมนต์ ‘SAC’ ใช้รหัสตัวถัง ‘F39’ มีพื้นฐานโครงสร้างร่วมกับ X1 (F48) ซึ่งเป็นเพลทฟอร์มเดียวกับ 2 Series Active Tourer [F45] ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์วางขวาง และส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อหน้า โดย X2 รุ่นที่ขึ้นต้นด้วย ‘sDrive’ จะหมายถึง รถขับเคลื่อนล้อหน้า และสำหรับรุ่นที่ขึ้นต้นด้วย ‘xDrive’ จะใช้ระบบขับเคลื่อนในรูปแบบ AWD
X2 ใช้ดีไซน์ที่ดูหนักแน่นขึ้นมาก เมื่อเทียบกับ X1 เป็นรูปแบบตัวถังรถ 4 ประตู ช่วงท้ายของหลังคาเทลาดสไตล์รถคูเป้ แนวหลังคาขยับลงต่ำ พื้นที่กระจกด้านข้างตัวถัง ถูกบีบให้แคบลงรูปแบบเดียวกับรถสปอร์ต กระจังหน้า Kidney Grille ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่ ทำหน้าที่รับลมผ่านเข้าไปยังห้องเครื่อง ตัวกระจังถูกขนาบข้างด้วยโคมไฟ ภายในใช้ดีไซน์วงแหวนแบบ Hexagonal Form ไฟหน้ารถ X2 เริ่มต้นด้วยรูปแบบฮาโลเจน และมี full-LED มาเป็นอ็อพชั่นให้ลูกค้าเลือกจ่ายเพิ่ม
นับตั้งแต่กันชนหน้า ต่อเนื่องมาจนถึงแนวด้านข้างของตัวถังของ X2 ใช้เส้นที่เน้นความบึกบึนตามแบบฉบับรถ ‘SAC’ ท้ายรถดีไซน์ในสไตล์รถแฮทช์แบค ประตูบานที่ 5 มีขนาดค่อนข้างเล็ก ไฮไลท์อยู่ที่สปอยเลอร์หลังที่ออกแบบให้รับกับความลาดเทของช่วงท้ายแนวหลังคา เพื่อหวังผลในเรื่องอากาศพลศาสตร์ กันชนหลังมีขนาดหนาเป็นพิเศษ เน้นความแข็งแรง มาพร้อมการ์ดกันกระแทก ที่ดูรับอย่างลงตัวกับการ์ดกันกระแทกจากแนวด้านข้างตัวถัง
ทั้งหมดช่วยส่งเสริมบุคลิก สำหรับนักขับที่รักการผจญภัย รองรับไลฟ์สไตล์แนวเอ็กซ์ตรีมของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ล้อเริ่มต้นที่ขนาด 17 นิ้ว และยกระดับไปใส่ใหญ่สุดที่ระดับ 20 นิ้ว ที่ดูกำลังแน่นพอดีกับขนาดซุ้มล้อ สำหรับรูปแบบ และสไตล์การตกแต่งทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร BMW จัดมาให้ลูกค้าเลือก 3 ระดับ ได้แก่ BASIC, M SPORT และ M SPORT X
เครื่องยนต์สำหรับ X2 (F39) มีให้เลือกทั้ง 3 สูบ และ 4 สูบ โดย X2 เครื่องยนต์ 3 สูบ จะถูกส่งลงทำตลาดช่วงต้นปี 2018 ช่วงเริ่มต้น X2 เปิดตัวด้วย 3 รุ่นเครื่องยนต์ ได้แก่ ‘sDrive20i’ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แถวเรียง 4 สูบ ขนาด 1,998 ซีซี. สร้างกำลังได้ 141 kW/192 hp ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 Nm ที่รอบ 1,350-4,600 รอบ/นาที เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม. มีค่า CO2 ต่ำสุด ๆ เพียง 134-126 กรัม/กิโลเมตร
X2 อีก 2 รุ่นที่เหลือ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลมาพร้อมระบบขับเคลื่อน xDrive นั่นคือ ‘xDrive20d’ และ ‘xDrive25d’ ทั้งคู่ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ร่วมกัน ต่างกันเฉพาะซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ที่ส่งผลให้ผลิตแรงม้าออกมาได้ไม่เท่ากัน เป็นเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ใช้อะลูมินัมอัลลอยทั้งเสื้อสูบและฝาสูบ ขนาดความจุ 1,995 ซีซี. ‘xDrive20d’ มาพร้อมแรงม้า 140 kW/190 hp ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 Nm ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ตะกายสี่ล้อผ่านระบบ xDrive ทะลุ 100 กม./ชม. ด้วยเวลา 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 221 กม./ชม. และปล่อย CO2 ในระดับ 126-121 กรัม/กิโลเมตร
ขณะที่ ‘xDrive25d’ ซึ่งแรงที่สุดในรุ่น มีแรงม้า 170 kW/231 hp ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 Nm ที่ 1,500-3,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 6.7 วินาที ท็อปสปีด 237 กม./ชม. และปล่อย CO2 ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับแรงม้า ที่ระดับ 139-133 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น
ภาพและภาพยนตร์ : BMW AG
เรียบเรียง : Pitak Boon