1348 จำนวนผู้เข้าชม |
เรื่อง : Intara_3026
ณ ตอนนี้ หลายท่านก็คงกำลังเดินทางไกล หรือ อยู่ที่จุดมุ่งหมายปลายทางแล้ว ซึ่งก็กำลังมีความสุขกับครอบครัว หรือ การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานเหนื่อยมาทั้งปี แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเดินทางในหน้าเทศกาลหยุดยาวๆ ที่มีรถมาก การจราจรหนาแน่น รวมไปถึงคนขับรถที่อาจจะ “อ่อนเพลีย” จากการขับรถนานๆ เกิดการ “วูบ” สติขาดช๊อตไป หรือ “เมา” (แล้วยังเสื_กจะขับ) ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิด “อุบัติโหด” ขึ้นได้ ลองคิดดูสิ ว่าขณะที่เราอยู่ต่างจังหวัด ห่างไกลจากพรรคพวก รวมไปถึง “ประกัน” แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ ???!!!
มันก็น่าคิดอยู่นะ ประกันที่ไหนจะมา พรรคพวกเพื่อนฝูงที่อยู่ต่างที่ไกลๆ กัน ใครจะมาช่วย ยิ่งทางหลวงระหว่างจังหวัด แล้วเราจะพึ่งพาใคร ??? มันทำให้จิตใจเราตกอยู่ในภวังค์ “หดหู่” Goo จะทำไงดีวะ จะบอกใคร จะแจ้งใคร สารพัดสารเพ มันผุดขึ้นมาในสมองรัวๆ เหมือนเห็ดหน้าฝน พร้อมเหงื่อกาฬที่ผุดขึ้นมาจากผิวหนัง สมองสับสนเหมือนตกอยู่ในสงคราม คงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นแล้วหาทางออกไม่ได้
แต่...อย่าเพิ่งเครียดไป เพราะ “เรามีคำตอบให้” ถึงขั้นตอนและวิธีการดำเนินการ หากเกิดอุบัติเหตุในต่างถิ่น มันต้องมีวิธีการที่ถูกต้องสิน่า เราจึงนำมาให้อ่านกันเล่นๆ แต่เอาจริงได้เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น
บอกก่อนๆ
ในเคสที่เรากำลังจะเหลาต่อไปนี้ จะประมาณว่า “เคสไม่หนัก” เช่น สีเป็นรอย, รถบุบ, ไฟแตก ฯลฯ ที่รถสามารถขับไปต่อได้อย่างปกติ และไม่มีใครบาดเจ็บ ซึ่งมันสามารถเคลียร์แล้วแยกย้ายกันไปต่อได้ ถ้าเราทำขั้นตอนเบื้องต้นอย่างถูกต้องแบบที่กำลังจะเหลากันต่อไปนี้ แต่กับเคสหนัก ที่รถเสียหายจนไม่สามารถไปต่อได้ หรือ มีคนบาดเจ็บ อันนั้นก็ต้องว่ากันไปตามส่วน ซึ่งมันก็คงจะทำแบบเคสเบาไม่ได้ เอาละครับ เคสไม่หนัก ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไรก่อนหลัง เชิญรับชมครับ
เก็บหลักฐานทุกอย่าง ณ จุดเกิดเหตุ
นี่แหละครับ เรื่องสำคัญ เพราะการชนที่ต่างจังหวัดไกลๆ แน่นอนครับ ประกันคงไม่ขี่รถมาจากกรุงเทพแน่ๆ เพราะฉะนั้น “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ก่อน สิ่งที่จะยืนยันทุกสิ่งอย่างได้ คือ “หลักฐาน ณ จุดเกิดเหตุ เท่านั้น ทำไมผมถึงบอกว่า ณ จุดเกิดเหตุ เพราะมันจะเป็นข้อยืนยันถึง “ตำแหน่งของรถที่เกิดเหตุ” อันนี้แหละที่จะมีผลกับรูปคดี ยังไงถ่ายเก็บไว้ก่อนให้เรียบร้อย เมื่อถ่ายจบทั้งเราและคู่กรณี ก็รบกวน “ย้ายรถเข้าข้างทาง” กรณีที่รถเสียหายไม่มากและยังขับได้อยู่ จะได้ไม่กีดขวางทางจราจรชาวบ้านเขา แต่ถ้าเสียหายมากจนทำอะไรไม่ได้ก็จนใจล่ะครับ...
คลิป VDO
จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งอย่างจะจบที่ “กล้องหน้ารถ” อันนั้นแหละคือ Real Time ของจริง ที่จะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่มันก็เพียง “มุมหน้า” เท่านั้น เว้นแต่ว่าท่านจะมีกล้องหลังด้วยก็ดี จะได้เห็นทั้งหมด เมื่อเกิดเหตุแล้ว ก็ลงไปถ่าย “คลิปมือถือ” โดยพยายามให้เห็นทุกมุม เช่น
- มุมกว้างหลายๆ มุม : อันนี้สำคัญมากครับ จะให้เห็นสภาพถนน เส้นทางการเดินรถ เส้นถนน ถ่ายมารอบด้านเลยครับ เพราะภาพรวมจะบอกได้ว่าใครชัวร์หรือมั่วนิ่ม อย่าลืมเด็ดขาด เพราะถ้าถ่ายเจาะมามุมแคบๆ หรือเฉพาะจุด มันจะบอกได้ยากครับ เพราะบางจังหวะมันคาบเกี่ยวจริงๆ ต้องดูภาพหลายๆ มุมประกอบ
- มุมชน : อันนี้จะเจาะจุดที่ “ป๊ะกัน” ที่ตัวรถ จะบอกได้ถึง “องศา” การชน ก็จะประเมินได้เช่นกันว่า “ใครมาจากไหน” รวมถึง “ร่องรอยความเสียหาย” ว่าอันนี้โดนชนจริง จะได้ยืนยันเรื่องการเคลมได้ จะได้ไม่ต้องมาเถียงกับไอ้พวกหัวหมอ (แต่เสื_ก จ้องเอาเปรียบชาวบ้าน) เพราะบางทีการชนมันมีหลายแผลไง ยังไงก็ยืนยันไว้ก่อนเป็นดี...
- บอกจุดเกิดเหตุ : พูดเล่าเหตุการณ์ไปในคลิป ว่าเกิดเหตุตรงไหน ลักษณะการเกิดเหตุเป็นอย่างไร แล้วก็ถ่ายไปอย่างที่บอก เพื่อยืนยันจุดเกิดเหตุ
- ถ่ายพยานสิ่งแวดล้อม : ถ่ายรอบๆ ด้านไว้ครับ เช่น ป้ายถนน เสาหลักกิโลเมตร อะไรก็ได้ที่จะบอกได้ว่า “เราอยู่ตรงไหน” ถ้ามี “พยาน” หรือ “คู่กรณีร่วม” ที่เป็นผู้เสียหายเช่นกัน ก็ให้เป็นพยานแล้วถ่ายคลิปเอาไว้
- คลิปซอยย่อย อย่ายาวมาก : นึกออกไหมครับ การถ่ายก็ควรจะถ่ายซอยย่อยๆ Shot หนึ่งก็ประมาณอย่าเกิน 2 นาที ถ่ายย่อยๆ หลายคลิปหลายมุมก็ได้ มันจะส่งได้ง่ายกว่า ผมแนะนำว่า “อย่าถ่ายคลิปยาวๆ” รวดเดียว เพราะ “มันจะส่งไม่ผ่าน” ยิ่งไปเจอเน็ตอืดๆ ในจุดที่อับสัญญาณก็อดไป
ภาพถ่าย
กันเหนียวไว้ก่อนก็ดีครับ ถ่ายมาอย่างที่บอกไปตะกี้ เพราะบางทีคลิป VDO เกิดปัญหา เน็ตห่วย สัญญาณกาก ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงในทางหลวงระหว่างเมืองยาวๆ กลางป่ากลางเขาอะไรงี้ ก็ถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานอีกชั้นหนึ่ง ส่งคลิปไม่ได้ก็ส่งรูป อย่างน้อยก็มีอะไรไว้บ้างดีกว่าไม่มีเลย อย่าลืมนะครับ ให้ถ่าย “ใบขับขี่” ของคู่กรณีไว้ด้วยเสมอ แล้วก็ถ่าย “หน้าคนขับ” ด้วยว่าเป็นบุคคลเดียวกับในบัตรจริงๆ กันการ “บิดพลิ้ว” ในตอนหลัง อะไรไม่รู้แหละ Goo กันไว้ก่อน...
ติดต่อประกันทันที ณ จุดเกิดเหตุ
เมื่อเรามีหลักฐานไว้แล้ว ก็โทรหาบริษัทประกันของท่าน โดยแจ้งเหตุไว้กับเจ้าหน้าที่ และ “ส่งคลิปหลักฐาน” ไปให้ด้วย บริษัทประกันก็จะให้แอด Line เพื่อรับหลักฐานเอาไว้ คุณก็ส่งให้เขาไป ดีอย่างครับ ตอนนี้ Social Network มันเอื้อประโยชน์ให้เราได้มากมายมหาศาล เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์จริงๆ ในจุดนี้ หลังจากนั้น ประกันก็จะทำหน้าที่พิจารณา รวมไปถึงการดำเนินขั้นตอนการเคลมต่างๆ ซึ่งเราก็ค่อยมาตามเรื่องอีกทีหลังจากกลับมาบ้านแล้ว...
แยกย้ายได้ หาก “ยอมรับ”
คนที่ไม่เคยเจอเคสนี้ อาจจะเหวอๆ หน่อย ว่านี่ Goo ต้องรออีกกี่มากน้อย กว่าประกันจะมา ไม่เสียเวลาเป็นวันเลยรึ จริงๆ แล้ว แจ้งประกันเสร็จแล้ว หลักฐานครบ ก็แยกย้ายกันได้ครับ (ในกรณีที่รถยังเสียหายไม่มากและวิ่งได้ปกตินะ) แต่เน้นว่า “เมื่อฝ่ายผิดยอมรับเท่านั้น” ไม่ว่าจะเราหรือเขา โอเค เมื่อฝ่ายผิดยอมรับ ฝ่ายถูกจะต้อง “ถ่ายคลิป VDO ยืนยันคำพูด” เอาไว้ ให้เขาบอกยอมรับผิด กันการ “บิดพลิ้ว” ทีหลัง แล้วก็ส่งให้บริษัทประกัน อย่าลืม ถ่ายใบขับขี่ บัตรประชาชน ทะเบียนรถ ของคู่กรณีเอาไว้ อาจจะดูจุกจิกไป แต่จำไว้ว่า “ต้องเก็บหลักฐานให้ได้มากที่สุดครับ” เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย หลังจากนั้นก็ “ทางใครทางมัน” ได้...
แล้วถ้าตกลงกันไม่ได้ล่ะ ???
งานจะหยาบขึ้นมาอีกระดับ กรณีถ้า “กูถูกลูกเดียว” และ “มึงผิดเสมอ” ไอ้ผิดก็ไม่ยอมรับ คุยกันแล้วก็พาลจะบานปลาย ใจเย็นๆ ก่อน แบบนี้ต้องพึ่ง “ตำรวจ” แล้วล่ะ ลักษณะนี้ ต้องแจ้ง “ท้องที่” ที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตำรวจมาสำรวจเหตุการณ์ ลงบันทึกประจำวันเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน หลังจากนั้น ก็แจ้งประกันของใครของมัน แล้วค่อยไปเคลียร์กันอีกทีหลังจากกลับบ้านช่องกันเรียบร้อยแล้ว อย่างที่บอกไปตอนก่อน ว่าควรจะมีเบอร์ฉุกเฉินต่างๆ เอาไว้ อย่างน้อย มีแล้วไม่ได้ใช้ ก็ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มีครับ
แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไร บางคนก็คงคิดว่าเรื่องแค่นี้ต้องเอามาเขียนกันด้วย มันน่าตื่นเต้นตรงไหน แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อเกิดเหตุกับตัวเองแล้ว เชื่อเลยว่าต้องมีเหวอกันบ้าง ใครไม่เคยเจอก็ไม่รู้ฟิลนี้แน่ๆ แต่เมื่อเกิดเหตุจริงๆ แล้ว ก็ขอให้ “ตั้งสติ” ก่อนนะครับ และใจเย็นๆ กันหน่อย จะได้ไม่เกิดเรื่องกันจนบานปลาย กลายเป็นเรื่องราวถึงคุกถึงตะรางกันรับปีใหม่ ขอให้ทุกท่านโชคดีปีใหม่ 2021 นะครับ