หยุดอยู่บ้านก็ดูแลรถเองได้ง่ายๆ Covid19 เป็นเหตุ สังเกตได้(Part2) ใกล้เข้าหน้าฝน..เช็ครถเองง่ายๆ

1429 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โดย: Pakin Sirichat

ใกล้เข้าหน้าฝน..เช็ครถเองง่ายๆ

หลังจากตอนที่ 1 ซึ่งเรานำเสนอเกี่ยวกับการดูแลรถง่ายๆ ช่วงโควิท แล้วท่านผู้อ่านที่มีรถยังไม่พร้อมนำเข้าศูนย์บริการไปแล้วนั่น ตอนที่ 2 ก็ยังคงเป็นเรื่องการตรวจเช็ครถง่ายๆ อีกเช่นเคย และยิ่งช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าฝนบ้างแล้ว การตรวจเช็ครถยนต์ให้มีสภาพที่พร้อมในการใช้งานเวลาที่ฝนตกเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณเอง และผู้ที่ใช้รถร่วมถนนกับคุณ

ความสำคัญอันดับแรกของการตรวจเช็ครถเพื่อให้พร้อมกับการใช้งานในช่วงหน้าฝน “ยางรถยนต์” ไงล่ะครับ ยางรถยนต์มีส่วนสำคัญมากๆ ในการยึดเกาะถนน และช่วยรีดน้ำเมื่อเวลาคุณขับรถผ่านสภาพเส้นทางที่เปียก หรือมีแอ่งน้ำ หลายท่านตั้งแต่ซื้อ หรือใช้รถยนต์มายังไม่เคยสำรวจยางรถยนต์ของตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้สภาพยางเป็นเช่นไร และผ่านการใช้งานมาแล้วกี่กิโลเมตร


ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานประมาณ 2-4 ปี หรือระยะทางประมาณ 4-50,000 กิโลเมตร บางท่านยังงง ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าวิ่งมาเท่าไหร่แล้ว ง่ายๆ นะครับ บนมาตรวัดเรือนไมล์ จะมีทริปวัดระยะทางอยู่ 2 แบบด้วยกัน แบบแรกจะเขียนว่า ODO และอีกแบบหนึ่งจะเขียนว่า Trip A และ Trip B รถบางรุ่นจะมีแค่ ODO กับ Trip A เท่านั่น

ไอ้เจ้า ODO เนี่ยมันก็คือ มาตรวัดระยะทางในการใช้รถยนต์ของเราตั้งแต่วันแรกที่รับรถจากศูนย์ ส่วนพวก Trip A, B สามารถกด Reset เพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์สามารถวัดระยะทางในการใช้งานต่อการเติมน้ำมันเต็มถัง 1 ครั้ง แล้วก็เคาะหาค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงไงล่ะครับ

ดังนั่นถ้ารถยนต์ของคุณมาตรวัดเรือนไมล์เป็นแบบ ดิจิตอล(พวกจอ TFT) ก็ให้กดปุ่ม Pust Start 1 ครั้ง โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรค ไฟหน้าปัดเรือนไมล์จะแสดงผมออกมา แล้วคุณก็มองหาคำว่า ODO แล้วดูว่าตัวเลขระยะทางที่ใช้งานไปขึ้นอยู่ที่เท่าไหร่ แต่ถ้ารถคุณเป็นรุ่นเก่า(รถยนต์หลังปี 2005 ลงไป) ก็เปิดประตูรถแล้วไปมองที่หน้าปัดได้เลย โดยตัวทริป ODO จะมีเลขทั้งหมด 6 หลัก(ถ้าพวก Trip A, B) จะมีอยู่ 4 หลัก ง่ายๆ เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถรู้ระยะในการใช้งานของยางรถยนต์ตั้งแต่คุณรับรถออกมาจากศูนย์บริการแล้วล่ะครับ



กลับกันถ้ากรณีซื้อรถมือ 2 มา เราไม่สามารถรู้ได้ว่า เจ้าของเดิมเปลี่ยนยาง แล้วใช้งานมากี่กิโลเมตรแล้ว ง่ายๆ เดิมไปที่ล้อรถ แล้วก้มลงดูตรงบริเวณแก้ม สอดส่องสายตา มองหาตัวเลข 4 หลัก ซึ่งจะบอกสัปดาห์(ตัวเลขคู่หน้า) และปี(ตัวเลขคู่หลัง)ของยางเส้นนั่นๆ แล้วคุณก็นำมาประมวลผลว่าควรสมควรจะเปลี่ยนได้หรือยัง

เช่นกัน การดูสภาพของหน้ายางว่าร่องดอกยางสึกไปเยอะมากน้อยเพียงใด สามารถดูด้วยตาเปล่า หรือใช้เหรียญบาทช่วยคุณได้ บริเวณร่องดอกยางจะมีสะพานยางอยู่ ถ้ายางสึกลงไปมากๆ จนเกือบถึงสะพานยาง นั่นหมายความว่าควรนำรถเข้าร้านยางเพื่อเปลี่ยนยางเส้นใหม่ หรือถ้ายังมองไม่ออกว่าสะพานยางอยู่ตรงไหน ให้ใช้เหรียญบาทเองด้านแนวตั้งวางลงไปในร่องของดอกยาง ถ้าเหรียญลงไปได้เกิน 2 ส่วน 4 ของเหรียญถือว่าร่องดอกยางยังลึกอยู่



การสลับยางเมื่อวิ่งได้ระยะทาง 20,000 กิโลเมตร ก็จะช่วยให้ยางทั้ง 4 เส้นมีความสึกหรอที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งการสลับยางมีอยู่ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับว่ายางที่ใช้เป็นแบบไหน ถ้ายางที่ใช้มี Rotaton จะสลับได้แค่ ล้อหน้าไปล้อหลัง ล้อหลังมาล้อหน้า กลับกันถ้าเป็นยางแบบที่เขียน Outside-Inside อันนี้สามารถสลับแบบทแยงมุมได้ครับ


ลมยางก็สำคัญนะ โดยปกติพื้นฐานการใช้รถยนต์ตั้งแต่เก่าก่อน ส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังว่าลมยางที่ควรเติมคือประมาณ 32 ปอนด์/ตารางนิ้ว จริงๆ แล้วยุคสมัยนี้ ควรเติมตามค่าที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเอาไว้(กรณีใช้ล้อเดิมติดรถ) ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์เขาได้ทำการทดสอบแล้วว่าลมยางประมาณนี้จะได้ความนุ่มนวลในการขับขี่ การยึดเกาะถนนที่ดี และยังช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ถ้าเติมตามสเปกที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนด ขับแล้วรู้สึกแข็งกระด้าง อนุญาตให้ปล่อยลดแรงดันลมยางลงมาได้ไม่เกิน 2 ปอนด์/ตารางนิ้วครับ

ต่อจากยางสิ่งที่ควบคู่กันก็คือ “ระบบเบรค” แน่นอนว่ามันช่วยให้รถชะลอความเร็วหรือหยุดรถทั้งในการขับขี่ปกติ หรือเกิดเหตุฉุกเฉินกะทันหัน แน่นอนว่าสำหรับท่านเจ้าของรถที่เป็นสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรีที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในการดูแลรถ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าระบบเบรคยังคงพร้อมใช้งานหรือไม่ “ผ้าเบรค” บางลงไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจริงๆ การตรวจสอบ “ผ้าเบรค” บางครั้งมองลอดเข้าไปในล้ออาจมองไม่เห็นทำเป็นต้องถอดล้อออกมาตรวจเช็ค ซึ่งมันจะดูยากไปสักนิดสำหรับมือใหม่ มีวิธีง่ายๆ แต่พอสามารถประเมินได้คร่าวๆ ด้วยการเปิดฝากระโปรงหน้า แล้วมองไปตรงผนังห้องเครื่องตำแหน่งของคนขับจะมี “หม้อลมเบรค” และมีกระป๋องน้ำมันเบรค(น้ำมันเบรคสีจะใสๆ) ให้มองไปที่กระป๋องใส่น้ำมันเบรกดูว่าระดับน้ำมันเบรคอยู่ที่ประมาณไหน

ซึ่งที่ตัวกระป๋องจะมีขีดบอก Max กับ Min ถ้าน้ำมันเบรกยังคงอยู่ในระดับ Max หรือต่ำลงมานิดหน่อยๆ ถือว่า “ผ้าเบรค” ยังหนาอยู่ กลับกันถ้าน้ำมันเบรคต่ำลงมาอยู่ระหว่างครึ่งของ Max กับ Min หรือแต่ระดับ Min ให้ระลึกได้เลยว่า “ผ้าเบรค” บางจนเกือบหมด หรือระบบเบรคอาจมีการรั่วซึ่ม ถ้าเป็นแบบนี้อาจจำเป็นต้องนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจเช็ค และแก้ไขให้เรียบร้อย



ต่อมา “ใบปัดน้ำฝน” ใบปัดน้ำฝนผลิตมาจากยาง(สมัยนี้มีทำจากซิลิโคนก็มีแล้ว) จริงๆ มันทำหน้าที่อะไรก็ตามชื่อแหละครับ คอยปัดกวาดน้ำฝนหรือฝุ่นโคลนให้กระจกหน้ากลับมาใส ทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ช่วงเวลาฝนตกดี และปลอดภัย อายุการใช้งานของมันควรจะต้องเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี เพราะตัวยางมันแนบกับกระจกบังลมหน้าตลอดเวลา โดนทั้งความร้อนจากแสงแดด ไอความร้อนจากห้องเครื่อง และโดนเศษฝุ่งละอองต่างๆ ก็ทำให้ยางเสื่อมสภาพ และกวาดเม็ดน้ำฝนบนกระจกบังลมหน้าไม่เกลี้ยง ซึ่งมีหลายๆ ท่าน กลัวว่ายางใบปัดน้ำฝนโดนความร้อนเยอะๆ แล้วเสื่อมสภาพเร็ว พวกเล่นยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นเวลาจอดตากแดดหรือจอดในโรงรถที่บ้านบ่อยๆ อันนี้เป็นวิธีที่ผิดนะครับ

เพราะตัวก้านใบปัดน้ำฝนจะมีสปริงที่คอยทำหน้าที่กดก้าน และยางใบปัดน้ำฝนให้แนบสนิทกับกระจกเวลาใช้งาน ถ้ามีการยกก้านใบปัดบ่อยๆ และเป็นเวลานานๆ จะทำให้สปริงมันล้า เวลาใช้งานปัดน้ำฝนมันจะไม่แนบสนิท และกวาดน้ำออกไม่หมด ยางใบปัดชุดนึงอย่างๆ ดีๆ ไม่เกินพันบาท(ถอดเปลี่ยนเองง่ายมากๆ) หรือมีงบน้อย ไปซื้อเฉพาะตัวยางปัดน้ำฝนมาถอดเปลี่ยนเองก็ได้ ถ้ามีความรู้ และเข้าในวิธีถอดใส่ครับ


น้ำฉีดกระจก อันนี้ก็สำคัญจะช่วยให้เวลาที่กระจกบังลมหน้ามีทัศนวิสัยที่ไม่ดี เราสามารถฉีดล้าง เพื่อให้กระจกบังลมหน้าสะอาด และมีทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดีขึ้น ถังพักน้ำฉีดกระจกจะอยู่ในห้องเครื่อง เปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมา(รถสมัยใหม่) จะมีฝาปิดเป็นสีน้ำเงินบ่งบอกเป็นเอกลักษณ์เลย ใช้เพียงน้ำสะอาดปกตินี่แหละครับเติมได้เลย หรือถ้าอยากเติมน้ำยาทำความสะอาดกระจกเข้าไปผสมด้วยก็ได้เช่นกัน

การเคลือบกระจกบังลมหน้า ก็ช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ตอนฝนตกดียิ่งขึ้น เพราะเม็ดน้ำจะไหลออกจากกระจกบังลมหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ทัศยวิสัยในการขับขี่ช่วงฝนตกหนักๆ แล้วใช้ปัดน้ำฝนจังหวะเร็วสุดแล้วก็ตาม น้ำยาเคลือบกระจกหาซื้อได้ตามร้านประดับยนต์มีหลายเกรด หลายราคา การใช้งานเมื่อกันคือ ทำกระจกบังลมหน้าให้สะอาด เทน้ำยาใส่ผ้าแล้วเช็ดให้ทั่วทั้งกระจกบังลมหน้า ปล่อยทิ้งไว้จนขึ้นฝ้าขาวๆ แล้วหาผ้าสะอาดๆ หรือกระดาษทิชชู มาเช็ดคราวฝ้าขาวๆ ออกให้หมด เพราะถ้าไม่หมดเวลาที่เปิดปัดน้ำฝน ใบปัดจะกระโดดนิดๆ แล้วมีเสียงดัง แรกๆ มือใหม่อาจจะทำยาก แต่ทำบ่อยๆ ก็คล่องครับ ใช้เวลาในการเคลือบ และเช็ดไม่เกิน 20 นาที แต่คุณได้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในการขับขี่รถช่วงหน้าฝน  

รูฉีดน้ำกระจก อันนี้ก็สำคัญ น้ำเต็มถังแต่ฉีดไม่ออก เพราะบางทีรูฉีดน้ำอาจจะตัน เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งเศษฝุ่งละอองที่ปะปนในน้ำฉีดกระจก หรืออุดตันเพราะคราบน้ำยาขับเคลือบสีรถ วิธีแก้ไขง่ายๆ หาเข็มหมุดเล็กๆ มาแยงในรูฉีดน้ำกระจก แยงๆ เขาไปสัก 2-3 ที แล้วลองกดน้ำฉีดกระจกดูครับ ง่ายๆ ทำเองได้ สบายๆ

ใช้รถยนต์ช่วงหน้าฝนถ้ามีการเตรียมพร้อมที่ดี โดยเฉพาะท่านเจ้าของรถหาเวลาดูแลเอาใจใส่ และตรวจสภาพรถด้วยตัวเอง บางอย่างคุณไม่จำเป็นต้องพึ่งช่างในศูนย์บริการ และเสี่ยงต่อการไปพบเจอผู้คน และอาจได้รับเชื้อมาก็ได้ ง่ายๆ ครับ กับการดูแลรถยนต์ด้วยตนเองในช่วงโควิท และเพิ่มความปลอดภัยให้กับคุณเองเวลาขับขี่บนท้องถนน 

        

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้