1158 จำนวนผู้เข้าชม |
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมนำทัพนวัตกรรมยานยนต์ล้ำยุคและข้อเสนอพิเศษสุดจากทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มุ่งหน้าสู่งาน Thailand International Motor Expo 2016 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 33 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1-12 ธันวาคม 2559 นี้ นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS ที่สุดแห่งสมรรถนะบนท้องถนน ที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีระดับโลกจากสนามแข่ง โฉมใหม่ของรถสปอร์ตปลั๊กอินไฮบริดแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู i8 Protonic Red Edition
ร่วมด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดรุ่นประกอบในประเทศไทยอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury และ บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport นอกจากนี้ มินิยังมาพร้อมกับรุ่นพิเศษ มินิ คูเปอร์ เอส ‘Seven Edition’ รวมถึงมอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์รุ่นยอดฮิต บีเอ็มดับเบิลยู F 800 R สีพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR HP Line และ S 1000 XR HP Line ที่ครบเครื่องกว่าเดิมด้วยฟังก์ชันมากมายสำหรับคอบิ๊กไบค์ตัวจริง
“งานมหกรรมยานยนต์ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เชื่อมโลก เชื่อมคน ยานยนต์อัจฉริยะ” ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีระดับพรีเมียมที่พร้อมขับเคลื่อนโลกยานยนต์สู่อนาคต โดยที่ยังรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย” มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าว “ไฮไลท์สำคัญในงานอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจากเทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance ทุกรุ่น ล้วนเป็นเครื่องสะท้อนถึงวิสัยทัศน์นี้ทั้งสิ้น”
บีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS
ราคาจำหน่าย 13,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS เป็นรถยนต์รุ่นพิเศษที่ต่อยอดความเป็นที่สุดด้านสมรรถนะของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe ไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีและรูปลักษณ์ภายนอกที่ส่งตรงจากสนามแข่ง พร้อมตอบสนองทุกโจทย์การขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นในสนามแข่งหรือบนท้องถนนทั่วไป
นอกจากจะเป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่เร็วและแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS ยังเป็นยนตรกรรมรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 700 คันทั่วโลก เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของรถยนต์สปอร์ตระดับตำนานอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู M3 ที่ได้เริ่มผลิตเป็นครั้งแรกในปี 1986
บีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS ใช้ขุมพลังเทอร์โบ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร รุ่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู M3 และ M4 รุ่นเดิม แต่เสริมสมรรถนะอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีระบบหัวฉีดน้ำ (water injection) ที่เปิดตัวออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก หลังจากที่ช่วยขับเคลื่อนให้รถแข่ง บีเอ็มดับเบิลยู M4 DTM ของนักขับชาวเยอรมัน มาร์โก วิทแมนน์ สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันทัวริ่งคาร์รายการ DTM (Deutsche Tourenwagen Masters) ประจำปี 2014 และ 2016 ไปครองได้สำเร็จ เทคโนโลยีหัวฉีดน้ำนี้ช่วยให้เครื่องยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS มีพละกำลังสูงสุดถึง 368 กิโลวัตต์/500 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่ยังมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe รุ่นมาตรฐาน
นอกจากเครื่องยนต์อันทรงพลังแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS ยังตอบสนองฉับไวด้วยตัวถังน้ำหนักเบาที่มีอัตราน้ำหนักต่อกำลังขับที่ 3.0 กิโลกรัมต่อแรงม้า โดยในส่วนกระโปรงหน้า-หลัง หลังคา สปลิตเตอร์หน้า และสปอยเลอร์ เลือกใช้วัสดุล้ำยุคอย่าง CFRP (carbon-fibre-reinforced plastic) ที่ทั้งแข็งแรงและมีน้ำหนักเบา เข้ากันกับงานออกแบบภายในที่เน้นการใช้วัสดุน้ำหนักเบาเพื่อความหรูในสไตล์สปอร์ตพันธุ์แท้ ส่วนระบบเกียร์ M DCT (M Double Clutch Transmission) 7 สปีด ทำงานผสานกับเครื่องยนต์อย่างลงตัวเพื่อส่งพละกำลังลงสู่ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาสีส้ม Acid Orange รุ่น 666 M Styling เสริมความมั่นใจบนทุกเส้นทางด้วยระบบช่วงล่างแบบ M coilover และเบรกคาร์บอนเซรามิก
บีเอ็มดับเบิลยู M4 GTS มาพร้อมกับการวิวัฒนาการเทคโนโลยีไฟท้ายแบบ OLED (BMW Organic Light) สำหรับการผลิตซีรี่ส์รถยนต์เป็นครั้งแรกในโลก โดยระบบไฟแบบ OLED นี้ ให้แสงสว่างบนพื้นผิวแบบกระจายตัวทั่ว ๆ กัน แทนที่จะเป็นแบบจุดเฉพาะเช่นไฟ LED ทั่วไป ผ่านวัสดุเซมิคอนดัคทีฟบางเฉียบ สร้างแสงไฟท้ายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury พร้อมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด รุ่นประกอบในประเทศไทย
ราคาจำหน่าย 2,599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury เป็นนวัตกรรมที่ครบเครื่องด้วยประโยชน์ใช้สอยและความหรูหรา ได้รับการออกแบบเพื่อสุนทรียะในการขับขี่ของผู้โดยสาร ประหยัดน้ำมันอย่างเหนือชั้นด้วยเทคโนโลยี iPerformance ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ บีเอ็มดับเบิลยู TwinPower Turbo ที่ทรงพลังของบีเอ็มดับเบิลยูเจ้าของรางวัล International Engine of the Year สามารถส่งกำลังสูงสุดที่ 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า พร้อมแรงบิด 290 นิวตันเมตร สู่ล้อรถได้อย่างราบรื่นในทุกรอบเครื่อง
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ามอบกำลังเพิ่มเติมสูงสุดอีก 65 กิโลวัตต์/89 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ให้สมรรถนะที่พร้อมตอบสนองในเสี้ยววินาทีตามสไตล์ระบบส่งกำลังไฟฟ้า ทำงานประสานกันกับระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะเพื่อให้ขับขี่ ได้สนุก ทันใจ โดยสามารถเลือกขับขี่โดยใช้พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ที่ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในโหมดไฮบริด บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อใช้งานร่วมกัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้จะมอบกำลังสูงถึง 185 กิโลวัตต์/252 แรงม้า ให้เร่งความเร็วได้อย่างใจนึก ทั้งยังประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 55.6 กิโลเมตรต่อลิตรและลดระดับมลภาวะในการขับขี่กับอัตราการปล่อย CO2 ที่ 42 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดในบีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury สามารถนำสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และยังสามารถขับขี่ในตัวเมืองได้โดยไม่ปล่อยมลภาวะออกจากท่อไอเสียเลยในระยะ 40 กิโลเมตร แบตเตอรี่ของรถมีความจุ 7.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง และสามารถชาร์จได้กับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป โดยมีช่องเก็บสายชาร์จอยู่ใต้พื้นที่เก็บสัมภาระตอนท้าย เมื่อแบตเตอรี่หมด สามารถชาร์จด้วยไฟบ้านให้เต็มได้โดยใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง หรือเลือกเสริมประสิทธิภาพการชาร์จด้วยอุปกรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไอ วอลล์บ็อกซ์ เพียว (BMW i Wallbox Pure) ที่ทั้งปลอดภัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วด้วยกำลังไฟถึง 3.7 กิโลวัตต์ (16 แอมป์/230 โวลท์) จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง 12 นาที
บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury มีดีไซน์สวยงาม โฉบเฉี่ยวด้วยล้ออัลลอยแบบ Multi-spoke style 416 แผงคอนโซลลายไม้ ไฟหน้าแบบ LED และพวงมาลัยหุ้มหนัง การออกแบบภายในโดดเด่นด้วยสีแอนทราไซต์และ Pearl Chrome และตกแต่งวัสดุคุณภาพสูงที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นเบาะหนังดาโกต้า ระบบนำทาง และเครื่องเสียงระบบ Hi-Fi
บีเอ็มดับเบิลยู i8 Protonic Red Edition
ราคาจำหน่าย 11,899,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู i8 Protonic Red Edition เป็นรถยนต์สปอร์ต 4 ที่นั่ง (2+2) รุ่นพิเศษที่ผลิตในช่วงเวลาที่จำกัด โดดเด่นด้วยโครงสร้างห้องโดยสารที่ทำจากวัสดุ CFRP (carbon-fibre-reinforced plastic) และระบบส่งกำลังไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู eDrive ตัวถังสีแดง Protonic Red ตกแต่งตัดกับสีเทา Frozen Grey metallic ในดีไซน์สุดเร้าใจ พร้อมเสริมความโฉบเฉี่ยวด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบ W-spoke 470 สีเทา Orbit Grey metallic ขนาดต่างกันในล้อหน้าและล้อหลัง ส่วนดีไซน์ภายในสวยงามไม่แพ้กันด้วยวัสดุที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์คุณภาพสูงและเซรามิก ให้ความรู้สึกสมกับเป็นรถสปอร์ตอย่างแท้จริง
ระบบส่งกำลังแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู eDrive ของบีเอ็มดับเบิลยู i8 ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู TwinPower Turbo ที่ส่งกำลัง 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า พร้อมแรงบิด 320 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลัง 96 กิโลวัตต์/131 แรงม้า พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตร นอกจากนี้ ระบบส่งกำลัง บีเอ็มดับเบิลยู eDrive ยังใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนกำลังไฟสูงและระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ เพื่อส่งกำลังรวม 266 กิโลวัตต์/362 แรงม้าได้อย่างเต็มสมรรถนะและประหยัดพลังงานสูงสุด
เมื่อใช้โหมดการขับขี่โดยใช้ไฟฟ้าโดยไม่มีการปล่อยไอเสียเลย บีเอ็มดับเบิลยู i8 สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางถึง 37 กิโลเมตร และสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง โดยสามารถเลือกชาร์จได้กับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป หรืออุปกรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไอ วอลล์บ็อกซ์ เพียว (BMW i Wallbox Pure)
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู i8 ผสานพลังเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่โดดเด่นเหนือใคร พร้อมตอบสนองความต้องการในทุกเส้นทาง สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 4.4 วินาทีเมื่อขี่ในโหมดสปอร์ต ทั้งยังมีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานและการปล่อยไอเสียที่เหนือชั้นกว่ารถสปอร์ตทุกรุ่นในตลาด ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 47.6 กิโลเมตรต่อลิตรและอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 49 กรัมต่อกิโลเมตร
บีเอ็มดับเบิลยู i8 เป็นรถที่โดดเด่นเหนือใครด้านประสิทธิภาพ ความประหยัดและสมรรถนะบนท้องถนน และได้รับรางวัลในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นรางวัล International Engine of the Year สำหรับเครื่องยนต์ TwinPower Turbo 3 สูบ และระบบส่งกำลังไฮบริด ทั้งยังได้รับการโหวตให้คว้ารางวัลยอดเยี่ยม World Green Car of the Year และ Green Luxury Car พร้อมด้วยรางวัล Paul Pietsch Award จาก “auto motor und sport” นิตยสารยานยนต์ของประเทศเยอรมันในฐานะรถยนต์ที่มีนวัตกรรมยานยนต์โดดเด่นที่สุด
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport
ราคาจำหน่าย 3,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล บีเอ็มดับเบิลยู TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ที่มอบพละกำลังสูงสุดถึง 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า ควบคู่กับอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 149 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งทำให้ บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport มีสมรรถนะยอดเยี่ยมที่สุดในกลุ่มรถยนต์ระดับเดียวกัน
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ใหม่ มาพร้อมกับหลังคากระจกแบบพาโนรามา เทคโนโลยี Performance Control ที่จัดสรรพละกำลังของเครื่องยนต์และการทำงานของเบรกที่แต่ละล้อในขณะเข้าโค้งเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุด ล้ออัลลอยแบบ Double-Spoke 622M ขนาด 19 นิ้ว และชุดแต่ง M แอโรไดนามิคที่ครบครันด้วยพวงมาลัยหนังแท้แบบ M กรอบหน้าต่าง BMW Individual แบบ high-gloss และเพดานห้องโดยสาร BMW Individual สีดำแอนทราไซท์ พร้อมด้วยระบบบีเอ็มดับเบิลยู Head-Up Display กล้องมองหลัง ระบบนำทาง
ชุดลำโพงไฮไฟ และระบบ Comfort Access
บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport รุ่นประกอบในประเทศไทย
ราคาจำหน่าย 4,699,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยู ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานความเป็นรถอเนกประสงค์และความหรูหราเข้าด้วยกันอย่างลงตัวในแบบของรถยนต์ SAV ด้วยสมรรถนะการยึดเกาะถนนเป็นเลิศจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ บีเอ็มดับเบิลยู xDrive และความประหยัดอย่างเหนือชั้นจากเทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู EfficientDynamics eDrive
บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport มีขุมพลังขนาด 2.0 ลิตรที่คว้ารางวัล “International Engine of the Year” มาครองแล้วถึงสามสมัย ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นจากเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ TwinScroll ระบบหัวฉีดน้ำมันที่มีความแม่นยำสูง และระบบ VALVETRONIC ซึ่งทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้เป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบที่ทรงพลังที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู ส่งกำลังสูงสุดที่ 180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตันเมตร สู่ล้อรถได้อย่างราบรื่นในทุกรอบเครื่อง
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ามอบพละกำลังเพิ่มเติมสูงสุดอีก 83 กิโลวัตต์/113 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่พร้อมตอบสนองในเสี้ยววินาทีตามสไตล์ระบบส่งกำลังไฟฟ้า ทำงานประสานกับเครื่องยนต์หลักเพื่อให้ขับขี่ได้สนุก ทันใจ เร่งความเร็วได้โดยไม่ต้องรอ สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งยังสามารถเลือกขับขี่โดยใช้พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ที่ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อใช้งานร่วมกัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้จะมอบกำลังสูงถึง 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า ให้คุณเร่งความเร็วได้อย่างใจนึก ทั้งยังประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 29.4 กิโลเมตรต่อลิตรและลดระดับมลภาวะในการขับขี่กับอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 79 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดใน บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e ได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสมกับการขับขี่แบบประหยัดพลังงานด้วยระบบส่งกำลังไฟฟ้า โดยเฉพาะในกรณีการเดินทางสัญจรในตัวเมืองโดยปราศจากมลภาวะ แบตเตอรี่กำลังไฟสูงของรถมีความจุ 9 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จได้กับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป โดยมีช่องเก็บสายชาร์จอยู่ใต้พื้นที่เก็บของ
เมื่อหมดกำลังไฟ แบตเตอรี่ของ บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e สามารถชาร์จด้วยไฟบ้านให้เต็มความจุได้โดยใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง 50 นาที หรืออาจเลือกเสริมประสิทธิภาพการชาร์จด้วยอุปกรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไอ วอลล์บ็อกซ์ เพียว (BMW i Wallbox Pure) จาก BMW 360° ELECTRIC ที่ทั้งปลอดภัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วด้วยกำลังไฟถึง 3.5 กิโลวัตต์ (16 แอมป์/230 โวลท์) จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง 45 นาที
MINI Seven ใหม่: สไตล์อันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ พร้อมให้เลือกขับขี่ในสองรุ่น
ราคาจำหน่าย
มินิ คูเปอร์ เอส 3 ประตู Seven Edition: 2,890,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
มินิ คูเปอร์ เอส 5 ประตู Seven Edition: 2,930,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
พบกับครั้งแรกของการเปิดตัวรถยนต์มินิรุ่น 3 ประตูและ 5 ประตูพร้อมกันในรุ่นพิเศษ “MINI Seven” ที่พัฒนาต่อยอดมาจากมินิ คูเปอร์ เอส
MINI Seven ใหม่ โดดเด่นสะดุดตาในสีน้ำเงิน Lapisluxury Blue ในแบบฉบับของ MINI Yours ส่วนหลังคาและกระจกมองข้างตกแต่งด้วยสีเงิน Melting Silver และกระโปรงหน้าคาดด้วยสี Melting Silver ตัดขอบด้วยสีน้ำตาล Malt Brown เข้ากันได้อย่างลงตัวกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย MINI Yours Vanity Spoke
ส่วนห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะนั่งหนังแท้สไตล์สปอร์ต MINI Yours Leather Lounge สีดำ และยังโดดเด่นด้วยโลโก้ MINI Seven ที่มีเอกลักษณ์บริเวณคอนโซลด้านหน้า และสีหลักของห้องโดยสารที่เป็นสีดำ Piano Black เสริมความโดดเด่นด้วยสีดำ Carbon Black
เครื่องยนต์เบนซินมินิ TwinPower Turbo มาพร้อมกับสัญชาตญาณการตอบสนองอันฉับไว แรงบิดที่เป็นเอกลักษณ์และกำลังขับเคลื่อนเหนือระดับ โดยเครื่องยนต์สี่สูบขนาด 2.0 ลิตรของมินิ คุเปอร์ เอส ทั้งในรุ่น 3 ประตูและ 5 ประตู สร้างแรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 1,250 รอบต่อนาที และสามารถเพิ่มขีดจำกัดสูงถึง 280 นิวตันเมตรที่ 1,250 รอบต่อนาที พร้อมพลังขับเคลื่อนถึง 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า
สำหรับชื่อรุ่น MINI Seven มีที่มาจากรถคอมแพกต์สุดคลาสสิกจากอังกฤษที่เปิดตัวออกสู่ตลาดเมื่อกว่า 50 ปีก่อนอย่าง Austin Seven ซึ่งถือเป็นต้นตระกูลของรถยนต์มินิ 4 ที่นั่งรุ่นแรก
โปรแกรมบำรุงรักษา MINI Services Inclusive
รถยนต์มินิทุกรุ่นมอบความสบายใจให้แก่ลูกค้านานกว่าที่เคย ด้วยโปรแกรมบำรุงรักษา MINI Service Inclusive หรือ MSI ที่ให้ระยะเวลาคุ้มครองการบำรุงรักษา รวมเป็น 5 ปี หรือ 100,000 กม. นอกจากนี้มินิ ยังมีโปรแกรมการรับประกันที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองตลอดระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยโปรแกรม MSI จะคงอยู่กับรถมินิเพื่อให้ลูกค้าที่รับการส่งต่อรถมินิสามารถที่จะสบายใจได้กับระยะเวลาคุ้มครองการบำรุงรักษาที่เหลืออยู่ และช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่รถมินิเมื่อเปลี่ยนเจ้าของอีกด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R
ราคาจำหน่าย 199,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R เป็นรถมอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์จากบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดต่ำกว่า 500 ซีซี ด้วยเครื่องยนต์หนึ่งสูบที่มีน้ำหนักเบาแต่สมรรถนะสูง บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ใหม่ จึงเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ความเป็นมอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์ตัวจริง กับประสิทธิภาพและความสบายในการขับขี่ ทั้งในตัวเมืองและนอกเมือง
บีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ใหม่ แข็งแกร่งด้วยเฟรมตัวถังเหล็กกล้า ช่วงล่างแบบ upside-down fork และสวิงอาร์มยาว ที่เสริมความมั่นใจ ให้รถทรงตัวได้ดีอยู่เสมอ พร้อมเบาะนั่งที่รองรับการขับขี่ในแบบสบาย ๆ ด้วยความสูงเพียง 785 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนสวิทช์และปุ่มควบคุมต่าง ๆ ก็ใช้งานง่ายและปลอดภัย ตามแบบบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ด้วยงานออกแบบที่คำนึงถึงทุกลักษณะรูปร่างของผู้ขับขี่
ส่วนหัวใจหลักของบีเอ็มดับเบิลยู G 310 R ใหม่ คือเครื่องยนต์หนึ่งสูบ 313 ซีซีที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมติดตั้ง 4 วาล์ว 2 แคมชาฟท์ และระบบหัวฉีดน้ำมันแบบไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 25 กิโลวัตต์/34 แรงม้า ที่ 9,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 284 นิวตันเมตรที่ 7,500 รอบต่อนาที จึงสามารถขับเคลื่อนตัวถังที่มีน้ำหนักเบาเพียง 158.5 กิโลกรัมได้อย่างคล่องตัว
บีเอ็มดับเบิลยู F 800 R Sport
ราคาจำหน่าย 490,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู F 800 R Sport ใหม่ เสริมความโฉบเฉี่ยวให้สะดุดตายิ่งกว่ารุ่นเดิมด้วยตัวรถในสีน้ำเงิน Racing Blue ตัดกับสีดำ Black Satin ทั้งยังมาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่มากมาย เช่น ฝาครอบเครื่องใหม่ ระบบช่วงล่างไฟฟ้า (Electronic Suspension Adjustment) ระบบควบคุมความดันยางรถ Tire Pressure Control (RDC) และไฟท้ายแบบ LED
บีเอ็มดับเบิลยู F 800 R Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สองสูบ 4 วาล์ว แบบหล่อเย็นด้วยน้ำความจุ 798 ซีซี มอบกำลังสูงสุดถึง 90 แรงม้า (66 กิโลวัตต์) ที่ 8,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 86 นิวตันเมตรที่ 5,800 รอบต่อนาที ทั้งยังมาพร้อมกับคุณสมบัติมาตรฐานอีกมากมาย ทั้งระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) และช่วงล่างระบบโช้คกลับหัวซึ่งจะรองรับแรงกระแทกบริเวณล้อหน้า ขณะที่ดิสก์เบรกคู่แบบไฮดรอลิกช่วยป้องกันการสูญเสียแรงเบรก
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R ใหม่
ราคาจำหน่าย 650,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บิ๊กไบค์สไตล์โรดสเตอร์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R กลับมาอีกครั้งกับรุ่นใหม่ที่เพิ่มคุณสมบัติพิเศษมาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบ Gear Shift Assistant ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าเกียร์ได้โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ระบบทำความร้อนแฮนด์รถ ฝาครอบเครื่อง และไฟเลี้ยว LED สีขาว
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R มาพร้อมกับสมรรถนะอันยอดเยี่ยมจากเครื่องยนต์ 4 สูบ 4 จังหวะ ขนาด 999 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน อัตราส่วนกำลังอัด 12.0:1 และระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 118 กิโลวัตต์/160 แรงม้า ที่ 11,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 112 นิวตันเมตร ที่ 9,250 รอบต่อนาที ทำงานประสานกับเทคโนโลยีระบบ Dynamic traction-Control (DTC), และ Dynamic Damping Control (DDC) ที่ช่วยปรับการทำงานของช่วงล่างในเหมาะสมกับการขับขี่ โดยทุกระบบสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR และ S 1000 XR HP Line ใหม่
ราคาจำหน่าย
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR HP Line: 1,199,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 XR HP Line: 930,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บิ๊กไบค์สายพันธุ์ซูเปอร์สปอร์ต บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR พร้อมเสริมความสปอร์ตให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นกับชุดแต่ง HP ในรุ่นพิเศษล่าสุด ที่ประกอบไปด้วยส่วนตัวถังด้านบน ฝาครอบเครื่องยนต์และโซ่ ฝาครอบล้อแบบคาร์บอน ท่อไอเสียไทเทเนียม ชุดล้อ ที่วางเท้า คันคลัทช์และเบรก ชุดผ้าคลุม และกระจกหน้าแบบเคลือบสี โดยมีวางจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 20 คันเท่านั้น
ส่วนมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งอันดับหนึ่งในตลาด บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 XR HP Line ก็มาพร้อมกับชุดแต่ง HP ด้วยเช่นกัน โดยมีชิ้นส่วนเพิ่มเติมทั้งที่วางเท้าด้านหน้า คันคลัทช์และเบรก ฝาครอบล้อหน้าและฝาปิดถังน้ำมันแบบคาร์บอน เบาะนั่งแบบสปอร์ต กระจกหน้าแบบเคลือบสี และแฮนด์จับท้ายรถ โดยในรุ่นพิเศษนี้จะมีวางจำหน่ายเฉพาะแบบตัวถังสีขาวเท่านั้น
ข้อเสนอพิเศษในงาน Thailand International Motor Expo 2016
ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูจะได้พบกับความคุ้มค่าสูงสุดด้วยข้อเสนอพิเศษในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2016 ดังนี้