1173 จำนวนผู้เข้าชม |
โดย...อัฐฒา นายเรือ
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดทริปการเดินทางแบบขบวนคาราวานบนเส้นทางสายเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย หรือ EAST-WEST ECONOMIC CORRIDOR รวมระยะทางกว่า 2,900 กม. ด้วยรถมาสด้าทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่ มาสด้า 2/3/CX 3/CX5 ซึ่งจะนำแต่รุ่นที่ใช้น้ำมันเบนซินไปใช้ทั้งหมด
การเดินทางในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ประกอบไปด้วยบรรดาผู้สื่อข่าวกว่า 120 ชีวิต กลุ่มแรก บินจากประเทศไทยสู่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทาง โดยวิ่งผ่านชายแดนเวียดนามสู่ประเทศลาว เข้าสู่ประเทศไทยที่ จ.มุกดาหาร จนไปจบการเดินทางของกลุ่มแรกที่ จ.พิษณุโลก
พวกเราได้เดินทางไปเป็นกลุ่มที่ 2 รับไม้ต่อจาก จ.พิษณุโลก เข้าสู่ประเทศพม่าที่ด่านแม่สอด จ.ตาก ขับรถลงไปยังเมืองมะละแหม่งซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของพม่าแล้ววกกลับขึ้นไปทางตอนเหนือสู่เมืองย่างกุ้ง
กลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายในทริปนี้จะขับรถทั้งหมดจากย่างกุ้ง กลับเข้ามาสู่ประเทศไทย โดยเข้าทางด่านแม่สอด จ.ตาก มุ่งลงมาทางใต้เข้าสู่กรุงเทพฯ เป็นอันจบการเดินทางอันยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ทางมาสด้าได้จัดการเดินทางทั้งในอาเซียนและยุโรปหลายทริปด้วยกัน
ในกลุ่มของพวกเราซึ่งเป็นทริปที่ 2 เฉพาะผู้สื่อข่าวไปด้วยกัน 30 คน เริ่มต้นการเดินทางด้วยการบินจากกรุงเทพฯ ไปยังพิษณุโลก เพื่อรับรถจากกลุ่มแรกจำนวน 9 คัน นอกจากนี้ ยังมีรถของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะคอยดูแลการเดินทางอีก 3 คัน ขับเป็นขบวนคาราวานต่อไปสู่ประเทศพม่าโดยวิ่งออกทางด่านแม่สอด จ.ตาก ถนนช่วงที่เดินทางไปแม่สอดในขณะนี้กำลังก่อสร้างเพื่อขยายเพิ่มเลนวิ่ง รองรับกับความเจริญทางการค้าและคมนาคมที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในดินแดนแถบนี้
ในวันแรกผมและเพื่อนร่วมทีมอีก 2 ท่าน ได้ MAZDA CX5 เบนซิน 2.0 ลิตร เป็นยานพาหนะสำหรับการเดินทางตลอดทั้งวันราว 400 กม. จนถึงเมืองมะละแหม่งซึ่งเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้ ซึ่งเป็นเอสยูวีที่เหมาะมากในสภาพถนนวันนี้ที่ในช่วงชายแดนไทยมีการซ่อมขยายถนน และถนนในบางช่วงของพม่าที่มีสภาพไม่สมบูรณ์นัก อัตราเร่งแซงทำได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่เราใช้โหมด SPORT เพื่อเพิ่มอัตราเร่งเพื่อความปลอดภัยในขณะที่ต้องแซงในช่วงคับขันเพราะในพม่าจะเป็นเลนสวนกันแทบจะตลอดทาง ระบบรองรับทนทานเชื่อใจได้สำหรับการลุยบนเส้นทางที่โหดในบางช่วงผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ
หลังจากทานอาหารกลางวันแถว อ.แม่สอด เป็นที่เรียบร้อยเราก็ทำพิธีการผ่านแดนทั้งรถและผู้โดยสาร ขบวนของเราขับรถผ่านสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำเมยเข้าสู่เมืองเมียวดีในประเทศพม่า สะพานแห่งนี้เปิดใช้งานมาประมาณ 20 ปีที่แล้ว รถส่วนใหญ่ในพม่าจะเป็นพวงมาลัยขวา แต่จะวิ่งชิดขวาตรงข้ามกับในบ้านเรา ทำให้เราต้องสร้างความเคยชินกันสักพักนึง จะลำบากหน่อยก็ตอนจะแซงรถคันข้างหน้า เพราะเราจะต้องแซงทางซ้ายแต่พวงมาลัยอยู่ทางขวาทำให้การมองรถที่วิ่งสวนมาทำได้ไม่สะดวกนัก ต้องอาศัยเพื่อนที่นั่งเป็นผู้โดยสารด้านซ้ายช่วยกันเล็งรถที่ขับสวนมา
สภาพถนนในประเทศพม่าในช่วงนี้ค่อนข้างแคบและไม่มีไหล่ทาง พื้นผิวลาดยางมะตอยที่ไม่ค่อยเรียบนักแต่พออาศัยเดินทางสัญจรไปมาได้ เราผ่านพื้นที่ของรัฐกระเหรี่ยงอยู่ช่วงนึง เป้าหมายการเดินทางของวันนี้อยู่ที่เมืองมะละแหม่งเมืองหลวงของรัฐมอญ ซึ่งสมัยก่อนเคยเป็นเมืองท่าของอังกฤษซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 รองจาก ย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ ห่างจากชายแดนไปไปทางตอนใต้ของพม่าเป็นระยะทางประมาณ 300 กม.
สภาพเส้นทางคดเคี้ยวบ้างไปตามเนินเขาในช่วงแรก ทิวทัศน์ข้างทางส่วนมากเป็นผืนนาและปลูกต้นตาลคล้ายกับวิวที่เราคุ้นตาแถบ จ.เพชรบุรีของไทย ก่อนเข้าสู่เมืองมะละแหม่งในรัฐมอญถนนค่อนข้างเรียบ เป็นผลงานการสร้างจากฝีมือผู้รับเหมาไทย สภาพภูมิอากาศคล้ายทางตอนใต้ของบ้านเราที่ฝนตกค่อนข้างชุก ป่าไม้อุดมสมบูรณ์
เราเดินทางมาถึงเมืองมะละแหม่งกันในช่วงเย็น สภาพบ้านเมือง ถนนหนทาง มีบรรยากาศคล้ายกับภูเก็ต รร.ที่พักเราตั้งอยู่ริม ม.สาละวิน ที่จะออกสู่ทะเลบริเวณปากอ่าวในระยะอีกไม่ไกลจากจุดนี้นัก บริเวณริมแม่น้ำอันกว้างใหญ่บรรยากาศดีทีเดียว ลมพัดเย็นสบาย เรารอชมภาพพระอาทิตย์ตกกันบริเวณหน้าโรงแรม และหลังจากที่รับประทานอาหารค่ำเป็นทีเรียบร้อย เราก็พักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางในวันพรุ่งนี้อีกราว 300 กม. มุ่งสู่เมืองหลวงของพม่าคือ กรุงย่างกุ้ง
เช้าวันที่สอง เราออกเดินทางตามสูตร 6-7-8 ล้อหมุนออกจากโรงแรมวิ่งไปสู่สะพานข้ามแม่น้ำสาละวิน ที่มีความยาวถึง 3 กม. วิ่งคู่ไปกับทางรถไฟที่ยาวกว่า สภาพเส้นทางโดยทั่งไปจะคล้าย ๆ กับวันแรกที่เราเดินทางมาสู่พม่า วันนี้เราวิ่งฝ่าสายฝนกันตลอดช่วงเช้า วันที่สองเราได้ MAZDA CX3 เป็นพาหนะพาเราไปจุดสำคัญต่าง ๆ ในพม่า ต้องขอชมในเรื่องของการควบคุมบังคับ CX3 ทำได้ดีมาก เป็นรถที่ขับสนุก ระบบรองรับทรงตัวดี ควบคุมได้ตามสั่ง แถมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ให้พลังเกินตัวจนแทบไม่ต้องปรับโหมดสปอร์ตช่วยเลย ทำให้การขับช่วงฝนตกหนักและสภาพเส้นทางเต็มไปด้วยโค้งแถมยังต้องแซงรถเพื่อให้ตามขบวนได้ทันเป็นไปได้อย่างสบายและไม่เครียดกับการขับขี่เลย
วันนี้เราได้ชมสถานที่สำคัญหลาย ๆ แห่งซึ่งเราเคยได้ร่ำเรียนกันมาในวิชาประวัติศาสตร์สมัยเด็ก ๆ ก่อนจะรับประทานอาหารกลางวันกัน คาราวานของเราได้จอดแวะที่สะพานข้ามแม่น้ำสะโตงซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในส่วนที่สมเด็จพระนเรศวรได้ยิงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตงไปโดนแม่ทัพพม่าเสียชีวิตในบริเวณนี้ เราได้ชมความกว้างขวางของแม่น้ำที่แทบไม่น่าเชื่อว่าปืนในสมัยก่อนจะสามารถยิงข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลแถมไปโดนแม่ทัพได้อย่างแม่นยำ น่าเป็นเรื่องของบุญบารมีของสมเด็จพระนเรศวรที่ทำให้สิ่งเหลือเชื่อเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้
หลังจากเราพักรับประทานอาหารพื้นเมืองกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็เข้าไปชม 'พระราชวังหงสาวดี' ที่มีความสวยงาม ใหญ่โต คล้ายกับสถานที่ซึ่ง มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ได้ไปจำลองเป็นฉากในภาพยนตร์สมเด็จพระนเรศวรที่เคยผ่านตาพวกเรามาแล้ว ตัวพระราขวังที่ใหญ่โต ทาด้วยสีทองเหลืองอร่าม ประดับประดาด้วยงานศิลปะอันละเอียดอ่อน งดงาม เช่นเดียวกับพระราชวังในที่ต่าง ๆ อาณาเขตกว้างขวางแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ตามหลักในสมัยโบราณ
เราขับรถชมบ้านเมืองตามรายทางจนใกล้จะถึงเมืองย่างกุ้งที่การจราจรเริ่มจะหนาแน่นตามปกติของหัวเมืองใหญ่ แต่ย่างกุ้งจะไม่อนุญาตให้รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาวิ่งในเมืองจากเหตุผลในเรื่องความปลอดภัยและลดความวุ่นวายของการจราจร ช่วง 5 โมงเย็น เราก็เดินทางมาถึง NOVOTEL ซึ่งเป็นโรงแรมที่พักคืนสุดท้ายก่อนจะกลับสู่เมืองไทยในวันพรุ่งนี้ หลังจากเช็กอินเป็นที่เรียบร้อย คณะของเราได้ออกไปชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราควรจะได้ไปสักการะกันคือ 'เจดีย์ชเวดากอง' ที่นี่จะปิดประมาณ 22.00 น. เราได้มีโอกาสไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระประจำวันของเรา เดินชมบริเวณโดยรอบเจดีย์ที่มีผู้คนเข้ามาชมหนาตาทีเดียว บางจุดประชาชนรวมกันนั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบ ความศรัทธาของผู้คน ปราศจากความวุ่นวายหรือเสียงรบกวน
หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับมาที่โรงแรมเพื่อเข้างานเลี้ยงยามค่ำคืนพร้อมกับรับชมการแสดงพื้นเมืองหลายชุดด้วยกันร่วมกับกลุ่มที่ 3 ซึ่งบินมาสมทบกับเราที่นี่ก่อนจะรับไม้ต่อเป็นคาราวานกลุ่มสุดท้ายที่จะขับรถกลุ่มนี้กลับเข้าสู่ประเทศไทยโดยมีจุดหมายอยู่ที่ กทม.
เช้าวันรุ่งขึ้น กลุ่มที่ 2 ของเราก็เดินทางกลับสู่ประเทศไทยด้วยสายการบิน BANGKOK AIRWAYS นำเรามาสู่สนามบินสุวรรณภูมิด้วยความเรียบร้อย เป็นอีกหนึ่งทริปที่ต้องเก็บไว้ในความทรงจำ เราได้มีโอกาสได้ไปชมโบราณสถานที่สำคัญ รวมทั้งจุดที่เราเคยได้รับทราบจากการเรียนประวัตศาสตร์มานมนานและเพิ่งจะได้มีโอกาสพบเห็นของจริงในการเดินทางครั้งนี้
ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้าร่วมประสบการณ์ครั้งสำคัญในการเดินทาง และขอขอบคุณทีมงานทุกท่านทั้งจากทางมาสด้าและทรานซ์เอเชีย รูท ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง และหวังว่าจะมีทริปดี ๆ ให้พวกเราได้มีโอกาสขับรถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ ๆ ในชีวิตกันอีกนะครับ...ขอบคุณมากครับ