กองทุนเอดส์บัตรทอง ปี 60 ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงรักษาเร็วขึ้น เพิ่มคุณภาพชีวิต

512 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สปสช.เผยผลดำเนินงาน“กองทุนเอดส์บัตรทอง ปี 60” ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เข้าถึงการรักษารวดเร็วขึ้น มีคุณภาพชีวิตเพิ่ม ผลจากนโยบายจ่ายยาต้านไวรัสเอชไอวีไม่จำกัด CD4 และรณรงค์ให้ประชาชนตรวจเอชไอวีได้ปีละ 2 ครั้ง พร้อมปี 61 รุกงานบริการผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์ต่อเนื่อง เดินหน้างานบริการส่งเสริมป้องกัน หนุนยุทธศาสตร์เอดส์ชาติ     

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า จากปี 2548 ที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)ได้อนุมัติสิทธิประโยชน์ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์และการบริการตรวจเชื้อเอชไอวี ได้ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วประเทศเข้าถึงการรักษาและได้รับยาต้านไวรัสอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ช่วยลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากโรคเอดส์ลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นผลจากการพัฒนาระบบและบริการเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย องค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ เป็นต้น  


จากข้อมูลรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2560 ได้รายงานผลการดำเนินงานด้านการบริการผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ พบว่าการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีฯ มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากในจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 295,858 คน มีผู้ป่วยที่ทราบสถานการติดเชื้อถึงจำนวน285,671 คน หรือร้อยละ 96.56 และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีฯ ได้รับการดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัส จำนวน 250,722 คน หรือร้อยละ 87.77 โดยเป็นจำนวนที่มากกว่าเป้าหมายตั้งไว้ขณะที่ผู้รับยาต้านไวรัสสามารถกดปริมาณไวรัสลงได้มีจำนวน 184,953 คน หรือร้อยละ73.77

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า เมื่อดูข้อมูลผลการดำเนินงานเฉพาะในส่วนผู้ติดเชื้อเอชไอวีฯรายใหม่ พบว่าผู้ติดเชื้อเข้าถึงบริการได้รวดเร็วขึ้น สะท้อนจากข้อมูลผู้ติดเชื้อเอชไอวีฯรายใหม่ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงมาก หรือค่า CD4 ต่ำกว่า 100 cells/mm3 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 57.51 ในปี 2552 เป็นร้อยละ 38.79 ในปี 2560 และผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานดีอยู่ หรือค่า CD4 มากกว่า 500 cells/mm3 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากร้อยละ2.61 ในปี 2552 เป็นร้อยละ 13.93 ในปี 2560 ที่สอดคล้องกับนโยบายการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวี โดยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนได้รับยาต้านไวรันโดยไม่คำนึงถึงระดับ CD4 ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 และการรณรงค์ให้ประชาชนเข้าถึงบริการรับคำปรึกษาและตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ทราบสถานะการติดเชื้อฯ และเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวี

สำหรับในปี 2561 นี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบเพื่อให้ สปสช.ดำเนินงานบริการผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ รวมถึงการเดินหน้างานป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ซึ่งจากข้อมูลในปี 2560 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 5,801คน หรือเฉลี่ยวันละ 16 คน ยังเป็นอัตราการติดเชื้อรายใหม่ที่สูงไม่น้อย

“การจัดบริการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ รวมถึงการจัดบริการป้องกันการติดเชื้อนั้น ไม่เพียงแต่มุ่งดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีให้ได้รับบริการอย่างครอบคลุมและทั่วถึง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการดำเนินงานที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์พ.ศ.2560-2573 ให้บรรลุเป้าหมาย หยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยไม่ให้เป็นปัญหาสาธารณสุขภายในปี พ.ศ.2573 ด้วย” เลขาธิการ สปสช. กล่าว  

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้