ล่องใต้ แอ่วเหนือ กินเสือร้องไห้ ไปงาน StarFest กับ Mercedes-Benz

998 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เรื่อง : กรลรรคน์ เฉียบฉลาด

 

ในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี ทาง บริษัท เมอร์เซเดส – เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด จะจัดงาน Mercedes-Benz StarFest ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองอย่างห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จนมาในช่วงปีหลัง ๆ ทาง Mercedes-Benz จึงเริ่มเพิ่มพื้นที่การจัดงานออกไปให้มากขึ้น ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยในกรุงเทพฯ มี 2 แห่งคือที่ Central Eastville กับ Central พระราม 2 กับอีก 5 แห่งในต่างจังหวัด ประกอบด้วย หาดใหญ่, สุรินทร์, ภูเก็ต, เชียงใหม่ และขอนแก่น ซึ่งตัวผมได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปชมงานที่ต่างจังหวัดกับทาง Mercedes-Benz ด้วยกัน 3 ทริป ด้วยเหตุผลที่งานของบริษัทที่ผมทำงานอยู่จะต้องทำงานร่วมกับทาง Mercedes-Benz เกือบตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นทางคุณอัชฌ์ บุณยประสิทธ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร หรือที่ผมและสื่อมวลชนหลายๆ ท่านเรียกกันติดปากว่า “พี่ดอม” ก็เลยเอ่ยปากชวนขับรถไปงานด้วยกัน

ทริปแรกที่เราเดินทางร่วมขบวนก็คือทริปที่ไปจังหวัดภูเก็ต โดยการเดินทางแต่ละครั้งจะมีรถร่วมขบวนไปด้วยกันทั้งหมด 6 คัน ซึ่งทริปนี้เรามีพาหนะคู่ใจเป็น Mercedes-Benz V250d ในวันที่เดินทาง เราเริ่มออกสตาร์ท ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อไปจุดหมายแรกที่เรานัดกันกับพี่ ๆ สื่อมวลชนท่านอื่นไว้ก็คือปั๊ม ปตท. วังมะนาวก่อน 8 โมงเช้า เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรอันแสนสาหัสช่วงเช้าของกรุงเทพ ประกอบะระยะทางในการขับรถครั้งนี้ค่อนข้างไกล (เกือบ ๆ 1,000 กิโลเมตร) ขืนมัวแต่โอ้เอ้กันมีหวังดึกแน่นอน สำหรับการเดินทางเรากับพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกท่านเห้นพ้องต้องกันว่าเราจะวิ่งกันแบบฟรีรัน โดยมีจุดพักเป็นระยะ ๆ เพื่อที่จะได้พักรถและสลับคนขับ แต่การแวะพักนั้นเราจะแวะให้น้อยที่สุดเพื่อที่จะทำเวลาให้ไปถึงภูเก็ตตอนเย็น ๆ 

ช่วงแรกที่ออกเดินทางเราจะยังไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมาก เพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับรถก่อน โดยเจ้า Mercedes-Benz V250d ถึงแม้จะเป็นรถสไตล์ MPV แต่ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่าเทอะทะเลยแม้แต่น้อย แถมเครื่องยนต์ประจำตัวที่เป็นเครื่องดีเซลเทอร์โบ ขนาด 2.2 ลิตร ก็มีแรงม้า 190 แรงม้ากับแรงบิด 440 นิวตัน-เมตร ถือว่าพละกำลังเหลือเฟือสำหรับใช้ในการเดินทาง และหลังจากที่เริ่มคุ้มเคยกับตัวรถแล้วเราก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นจนอยู่ในความเร็วที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางคือ 120 – 140 กม./ชม. จนเมื่อเข้าสู่ช่วงถนนบายพาสตัวเมืองหัวหินเราจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มความเร็วให้สูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อชดเชยเวลาในช่วงแรกที่เสียไป ขับไปได้สักพักก็มีเสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมบอกจุดหมายว่าเราจะพักทานอาหารกลางวันที่อำเภอทับสะแก ซึ่งเมื่อดูเวลากับ GPS ในรถแล้วระยะทางที่เหลือไม่ได้ไกลมาก เราจึงผ่อนคันเร่งลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม จนกระทั่งถึงที่จุดนัดในเวลาเที่ยงตรง 

อาหารใต้รสเด็ดถูกลำเลียงผ่านเข้ากระเพาะจนเริ่มรู้สึกอิ่ม เราจึงเตรียมตัวออกเดินทางต่อ โดยในช่วงนี้ก็มีสื่อมวลชนบางท่านที่ขอสลับรถกันเพื่อที่จะได้ทดสอบกันในหลาย ๆ รุ่น แต่ก่อนที่เราจะออกเดินทาง ฝนก็ได้ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ถนนที่เราจะเดินทางต่อไปข้างหน้าอาจจะไม่สามารถใช้ความเร็วได้อย่างเต็มที่ตามที่เราต้องการ และถึงแม้ว่าสภาพเส้นทางจะไม่อำนวยเราก็ต้องลุยกันต่อ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนการเดินทางในช่วงนี้ไปเป็นการขับแบบเป็นขบวนคล้ายกับการขับรถแบบคาราวาน โดยให้คันที่นำหน้าคอยบอกสภาพเส้นทางที่วิ่งผ่านกับขบวนรถคันที่ตามมาข้างหลัง 

จุดพักที่ 2 ในช่วงบ่ายสี่โมง เราเลือกพักที่ปั๊ม ปตท.ก่อนเลี้ยวเข้าถนนเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด เพื่อเติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำล้างหน้าและหากาแฟกินแก้ง่วง ใช้เวลากันตรงนี้ราว 30 นาทีก็ออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนเซาท์เทิร์น ซีบอร์ดหรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 44 โดยก่อนออกเดินทางเราปรับโหมดการขับขี่ไปที่โหมด Sport  เพื่อเพิ่มความกระฉับกระเฉงในการขับ และทันทีที่เข้าถนนเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด คันเร่งที่เคยใช้แบบผ่อน ๆ มาเกือบตลอดถูกกดจมพื้น

เจ้า V250d กระโจนออกจนตัวผมเองแทบจะไม่อยากเชื่อว่ากำลังขับรถ MPV แน่เหรอ ทำไมมันเร็วจัง เข็มวัดความเร็วยังตวัดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าที่จะหยุด จนเมื่อเส้นทางข้างหน้าเริ่มหนาแน่นเราถึงเบาคันเร่งลงพร้อมกับได้เลข 2 นำหน้าที่ความเร็วหลักร้อย (เป็นการกระทำส่วนบุคคล ไม่แนะนำให้ทำตามนะครับ)

บางช่วงของถนนเซาท์เทิร์น ซีบอร์ดเริ่มมีการทรุดตัวเป็นหลุมเล็ก ๆ ในบางจุด และก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่เราวิ่งผ่านหลุมเหล่านั้นแบบไม่รู้ตัว แต่ด้วยระบบกันสะเทือนแบบ AGILITY CONTROL ที่อยู่ในเจ้า V250d บอกตรง ๆ เลยครับว่าแทบไม่รู้สึกเพราะมันยังคงนุ่มนวลเกาะถนนได้หนึบ ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องยกนิ้วให้เลยครับ

ออกจากเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด เรามาแวะพักทานอาหารรองท้องกันที่ร้านไก่ทอดผู้พันแซนเดอร์ จังหวัดพังงา เนื่องด้วยในทริปนี้เราตั้งใจว่าจะไปทานข้าวต้มแห้ง ร้านโกเบนซ์ เป็นอาหารค่ำ (มากับ Mercedes-Benz ก็ต้องกินโกเบนซ์สิเนอะ) และมองนาฬิกาคำนวณเวลากับระยะทางที่เหลือแล้วเราน่าจะถึงที่พักไม่เกินทุ่มตรง ซึ่งเราก็ทำได้ตามเป้าคือถึงที่พักที่โรงแรม JW Marriot ภูเก็ตตอนทุ่มตรง จากนั้นพากันไปทานข้าวต้มแห้งโกเบนซ์ ก็เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางในทริปนี้

หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง เราก็มาถึงทริปที่สองคือการเดินทางขึ้นเหนือไปจังหวัดเชียงใหม่ โดยที่คิดไวในใจคือออกเดินทางตอนเช้า แต่เนื่องจากในเช้าวันเดินทาง เราต้องมาร่วมงานแถลงข่าวของ Mercedes-Benz กับการขยายจุดติดตั้งสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ Plug-In Hybrid ใน 3 เครือโรงแรมชั้นนำของเมืองไทยที่ Voice Station ถนนวิภาวดีก่อน จึงทำให้แผนการเดินทางต้องเปลี่ยนมาเป็นช่วงเที่ยงแทน ซึ่งจากระยะทางและเส้นทางที่เราเคยขับกันมาที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เราแน่ใจว่าน่าจะถึงเชียงใหม่ในช่วงค่ำ ๆ พอดี 

ในครั้งนี้เราก็ยังเดินทางร่วมกับพี่ ๆ สื่อมวลชนที่ทาง Mercedes-Benz เชิญเช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนม้าศึกของเราในครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็น Mercedes-Benz GLE500e ยนตรกรรมในกลุ่ม EQ ที่ใช้เทคโนโลยี Plug-In Hybrid แทน

แต่เมื่อเริ่มออกเดินทาง แผนการที่เตรียมไว้ต้องถูกยกเลิกทันที เพราะกว่าที่เราจะฝ่าการจราจรอันบ้าคลั่งมาถึง อ. บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบ ๆ จะบ่ายโมงครึ่งแล้ว ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนเป็นแวะทานข้าวกลางวันและเติมน้ำมันกันที่บางปะอินเลย เพื่อที่จะได้เดินทางได้ยาว ๆ ได้ช่วงต่อจากนี้

ทานข้าว เติมน้ำมัน ซื้อของในร้านสะดวกซื้อเสร็จก็เริ่มออกเดินทางโดยไม่รอช้า เพราะมีเส้นทางอีกกว่า 600 กม.รออยู่เบื้องหน้า ส่วนเส้นทางหลักที่เราจะใช้เดินทางก็คือถนนพหลโยธินนี่แหละ ล่องยาวไปเรื่อย ๆ

การเดินทางยาว ๆ แบบนี้ ยนตรกรรมที่เป็น Hybrid จะค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง เพราะในบางช่วงที่เราขับนั้น ถ้าไฟชาร์จในแบตเตอรี่ไฮบริดเต็ม เครื่องยนต์ก็จะหยุดทำงานแล้ววิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าแทน จนเมื่อไฟในแบตเตอรี่ไฮบริดลดลงมาจนถึงจุดที่กำหนด เครื่องยนต์ก็จะทำงานเองโดยอัตโนมัติ เรียกว่าวิ่งสลับไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ไปเรื่อย ๆ แถมจังหวะตัดต่อสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าก็ราบเรียบ นุ่มนวบจนแทบจะไม่รู้สึกเลย หากไม่เหลือบตามองวัดรอบเพื่อดูว่าเครื่องยนต์ทำงานอยู่หรือเปล่า

ข้อได้เปรียบอีกอย่างของพวกยนตรกรรมในกลุ่ม Hybrid ก็คือในเรื่องของพละกำลังในช่วงที่เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานประสานกัน ตัวรถก็จะมีพละกำลังที่สูงขึ้น อย่างเช่นตัว GLE500e ที่เราขับอยู่นี้ ลำพังเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตรเพียว ๆ แรงม้าที่ได้ก็คือ 333 แรงม้ากับแรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร ส่วนชุดขับเคลื่อนของระบบมอเตอร์ไฟฟ้านั้น จะมีพละกำลังอยู่ที่ 116 แรงม้ากับแรงบิดสูงสุด 136 นิวตัน-เมตร แต่เมื่อรวมกันแล้วแรงม้าสูงสุดของเจ้าGLE500e นี้จะทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 442 แรงม้ากับแรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตรเลยทีเดียว

ขับผ่านกันไปทีละจังหวัดไล่ตั้งแต่อ่างทองจนกระทั่งเราก็มาแวะพักเข้าห้องน้ำ ทานกาแฟกันที่จังหวัดกำแพงเพชร  พลิกดูนาฬิกาแล้ว เราน่าจะถึงจุดหมายไม่น่าจะต่ำกว่าสามทุ่ม ก็เลยวางแผนกันใหม่กับทีมที่เดินทางไปด้วยกันว่าเราน่าจะทานข้าวเย็นกันที่จังหวัดตาก ซึ่งพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกคนก็โอเค จากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อโดยไม่รอช้าเพราะเวลาทุกนาทีมีค่า แถมเส้นทางข้างหน้าที่รอเราอยู่คือเขาขุนตาน ถนนจะไม่มีไฟส่องสว่างซึ่งนั่นจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้เราเดินทางช้าลง 

เราไปถึงร้านข้าวต้มเมืองตากตอนหกโมงเย็น ข้าวต้มร้อน ๆ บวกกับข้าวง่าย ๆ อย่างผัดหนำเลี๊ยบหมูสับ ต้มซุปเปอร์ขาไก่ ช่วยบรรเทาความหิวไปได้มากโข ทานเสร็จก็ไปต่อทันที จนเมื่อก่อนขึ้นเขาขุนตานเราต้องจอดเติมน้ำมันเพิ่มเพราะรถในขบวนบางคันน้ำมันเริ่มเหลือน้อยมาก ถ้ายังขืนวิ่งต่ออาจจะมีได้กินข้าวลิงบนเขา

นับเป็นโชคดีของเราเพราะเจ้า GLE500e ของเรานั้นเป็นรถระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 MATIC พร้อมฟังก์ชั่นElectronic Traction System 4ETS ส่วนเกียร์เป็นเกียร์เดินหน้า 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อม PADDLE SHIFT ที่พวงมาลัย ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่เหมาะมากกับเส้นทางที่คดเคี้ยวแบบนี้ อีกทั้งไฟหน้าของเจ้า GLE500e ยังเป็นแบบ LED Intelligent Light System ที่มีระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัยและระบบเพิ่มความสว่างขณะเลี้ยวโค้ง ก็ทำให้เรามั่นใจในการขับผ่านเขาขุนตานได้มากยิ่งขึ้น

ซ้าย ขวา ซ้าย ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย ผ่านไปทีละโค้ง ทีละโค้ง จนกระทั่งลงเขาขุนตานมาได้เราก็มาจอดพักหายใจพร้อมรอตั้งขบวนใหม่อีกครั้งที่ปั๊มน้ำมันจังหวัดลำพูน มองระบบนำทางภายในรถเหลือระยะทางอีกประมาณ 80 กิโลเมตรก็จะถึงที่หมายแล้ว ยิ่งทำให้เราผ่อนคลายไปได้ระดับนึงพร้อมกับนึกในใจว่า “เอาวะ...อีกนิดเดียวก็ได้พักแหละ” จนเมื่อเวลาในนาฬิกาแจ้งว่าสี่ทุ่มขบวนของเราก็มาถึงจุดหมายที่โรงแรม LE Meridien จังหวัดเชียงใหม่พร้อมกับปิดจ๊อบเดินทางในทริปที่สอง

ทริปสุดท้ายนั่นก็คือทริปเดินทางสู่ภาคอีสานโดยมีจุดหมายคือที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งทริปนี้ต้องบอกว่าเป็นทริปที่สั้นที่สุด สบายที่สุด เพราะสภาพอากาศและเวลาเป็นใจให้เราทุกอย่าง ส่วนพาหนะคู่ใจของเรานั้นตอนแรกจะเป็นเจ้า GLE500e คันเดิม แต่ด้วยความที่อยากจะลองขับรถรุ่นอื่น ๆ ดูบ้าง เราก็เลยขออนุญาตเปลี่ยนรถกับพี่สื่อมวลชนท่านอื่นเป็นเจ้า C250 Coupe’ AMG Dynamic แทน

เราเริ่มต้นออกเดินทางตอนช่วงสาย ๆ เพราะระยะทางประมาณ 500 กิโลเมตรนั้น ถ้าขับกันจริง ๆ ครึ่งวันก็ถึงแล้ว ดังนั้นเราก็เลยไม่ต้องรีบมาก ส่วนสภาพเส้นทางโดยรวมก็เป็นการเดินทางบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลย 2 ถนนมิตรภาพ โดยตามแผนที่คุยกันไว้คือเราจะมาแวะทานข้าวที่เขาใหญ่ตอนเที่ยง จากนั้นก็จะเดินทางต่อไปโดยใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ผ่านเมืองพล แล้วเข้าสู่ขอนแก่น

เราขออนุญาตแยกออกจากขบวนแล้วค่อยไปเจอที่จุดนัดพบ เพื่อที่จะได้ลองขับทดสอบเจ้า C250 Coupe’ แบบจริง ๆ จัง ๆ กันสักหน่อย ซึ่งพละกำลังของเครื่องเบนซิน  4 สูบ เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้ากับแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร พร้อมโหมดการขับแบบ Sport ถึงจะไม่ได้ดุดันกระแทกกระทั้นอย่างเจ้า Mercedes-AMG C43 Coupe’ แต่ก็สร้างความสนุกในการขับให้กับเราได้ตลอดเส้นทางการเดินทาง 

เบาะนั่งทรงสปอร์ตสไตล์กึ่ง ๆ Bucket Seat ให้ความโอบกระชับในการนั่ง อีกทั้งยังนุ่มนวลทำให้ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าในการขับได้ไม่น้อย พวงมาลัยท้ายตัดขนาดกำลังพอดีมือพร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังค์ชั่นช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ที่สำคัญระบบเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาให้ก็เป็นแบบระบบเสียงรอบทิศทางของ Burmester ซึ่งแบรนด์นี้บรรดาคอฟังเพลงระดับหูเทพจะรู้ซึ้งถึงคุณภาพเสียงที่ออกมาได้เป็นอย่างดีว่ามันสุดติ่งกระดิ่งแมวแค่ไหน

การเดินทางช่วงสุดท้ายเป็นแบบสบาย ๆ ขับตามกันไปเป็นขบวน เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักที่โรงแรม Avani ขอนแก่น ซึ่งเราก็มาจบการเดินทางของทริปนี้กันในช่วง 5 โมงเย็น จากนั้นก็เช็คอินเข้าที่พัก อาบน้ำ พักผ่อนให้คลายเมื่อยล้าก่อนที่ตอนค่ำ ๆ จะออกไปล่าหา “เสือร้องไห้” รสเด็ดตามลายแทงที่เพื่อน ๆ ให้มา

นับเป็นประสบการที่จะอยูในความทรงจำไปอีกนาน เพราะในปัจจุบันการที่ตัวผมจะได้ออกเดินทางไปทดสอบรถยาว ๆ แบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องยากเนื่องจากหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอยู่ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนแบบทริปยาว ๆ ได้ ก่อนจากลากันไปก็ต้องขอขอบคุณพี่ดอมรวมถึงน้อง ๆ ทีมการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เมอร์เซเดส – เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ช่วยดูแลตลอดการเดินทาง รวมถึงพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกท่านที่ได้เดินทางร่วมกันในทุกทริป และหวังว่าคงได้พบกันในโอกาสหน้าครับ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้