679 จำนวนผู้เข้าชม |
เรื่อง : อัฐฒา นายเรือ
หลังจากที่ค่ายนิสสันได้เปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นแรกที่จำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยด้วยรุ่น ลีฟ รถไฟฟ้า 100% โดยนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคันซึ่งมีผลทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงและราคารถโดดขึ้นไปร่วม 2 ล้านบาท หลังจากที่ทีมงานรายการวิทยุ SAFE SAVE DRIVE FM89.5 และเว็บไซต์ LIFESTYLE224.COM ของเราได้เคยทดลองขับ นิสสัน ลีฟ ในรูปแบบใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งในเมืองและชานเมืองเป็นเวลา 1 วันเต็ม คราวนี้ผมจะมาพิสูจน์สมรรถนะพละกำลังจากไฟฟ้าที่จะพาเราไปพิชิตยอดดอยอินทนนท์ที่สูงสุดในประเทศไทยได้หรือไม่ ? และความท้าทายต่อมาคือ เมื่อชาร์จแบตเตอรีแบบ ลิเธียม-ไอออน ขนาด 40 กิโลวัตต์ต่อชม. อย่างเต็มเปี่ยมแล้วจะเพียงพอให้เราสามารถขับรถคันนี้ ขึ้น-ลง ดอยอินทนนท์ เป็นระยะทางราว 200 กม. ซึ่งช่วงขาขึ้นต้องใช้พลังงานค่อนข้างมากทีเดียว ด้วยการชาร์จที่ต้นทางเพียงครั้งเดียวหรือไม่ ? ซึ่งเราจะมาพิสูจน์กันในวันนี้
รถทั้ง 10 คัน ได้รับการเตรียมพร้อมจากทีมงานเป็นอย่างดี เราเป็นกลุ่มแรกที่จะลุ้นให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รถทุกคันถูกชาร์จไฟเข้าไปเก็บไว้ในแบทเตอรีเต็มเปี่ยมเพื่อรอการพิสูจน์สมรรถนะและประสิทธิภาพของระบบไฮเทคต่างๆ ที่ติดตั้งมาในรถรุ่นนี้
เราออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่โดยมีจุดหมายแรกอยู่ที่ยอดดอยอินทนน์ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,565 เมตร ในช่วงแรกเราขับเป็นขบวนคาราวานจากโรงงแรมที่พักออกไปนอกเมืองราว 50 กม. ก่อนจะวิ่งแบบฟรีรันมุ่งสู่ยอดดอยอินทนนท์ การขับรถไฟฟ้าหรือ EV – Electric Vehicle อาจจะต้องมีการปรับตัวในช่วงแรกอยู่บ้างในเรื่องของปุ่มสวิทช์ต่างๆ, ตำแหน่งเกียร์, มาตรวัดที่หน้าปัด ฯลฯ พอเราคุ้นเคยกับตำแหน่งต่างๆ แล้ว การขับขี่รถไฟฟ้าก็แทบจะไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไปที่เราขับเป็นประจำเลย มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังขับเคลื่อนที่รวดเร็ว เสียงเงียบ ต่อเนื่องและนุ่มนวล พละกำลัง 150 แรงม้า และแรงบิดที่มีมากถึง 320 นิวตัน-เมตร เหลือเฟือกับการใช้งานได้ในทุกๆ วันและทุกสภาพเส้นทางโดยเฉพาะขณะขับขึ้นเขาสูงชันแบบที่เราลองขับกันในวันนี้ การขับขึ้นดอยเป็นไปอย่างง่ายดาย สบายๆ ไม่ต้องลุ้นเลยว่าจะขึ้นไหวหรือไม่ อัตราเร่ง 0-100 กม. ทำได้ในเวลาที่รวดเร็วเพียง 7.9 วินาที ถือว่าเร็วกว่าสปอร์ทซีดานหลายๆ คันเลยทีเดียว
การเร่งแซงแม้อยู่บนเนินเขาทำได้อย่างทันใจและปลอดภัย ไม่มีปัญหาหรือทำให้เรารู้สึกเครียดเลยในการขับขึ้นเขาสูงที่เต็มไปด้วยโค้งในวันนี้ รถยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยพละกำลังที่เหลือเฟือ ระบบรองรับได้รับการปรับเซทมาดีทีเดียว ให้ทั้งความนุ่มนวลและยึดเกาะถนนได้ดีโดยเฉพาะเมื่อวิ่งเข้าโค้งเร็วๆ ผมรู้สึกประทับใจในการควบคุมบังคับของรถไฟฟ้ารุ่นนี้ แต่จากการที่รถไฟฟ้ามีความเงียบ ไม่มีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ฯลฯ ทำให้เราได้ยินเสียงรบกวนจากลมภายนอกที่มาประทะจุดต่างๆ ของตัวรถค่อนข้างชัดเจนขึ้นจากการที่เสียงในรถเงียบมากไม่มีการรบกวนจากการทำงานต่างๆ ในรถ ลีฟ มีตัวถังที่ลู่ลมทำให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานมีเพียงแค่ 0.28 เท่านั้นเอง
หลังจากที่เราขับทะยานขึ้นสูยอดเขา ผ่านโค้ง ซ้าย-ขวา ครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็มาถึงยอดดอยอินทนนท์กันแบบสบายๆ ไม่มีการลุ้นในเรื่องของพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าว่าจะเพียงพอต่อการวิ่งขึ้นทางชันหลายๆ จุด หลังจากที่จอดแวะพักกันสักครู่ท่ามกลางอากาศเย็น 15 องศาเซลเซียสในยามเที่ยงวันเราก็ขับลงมาสัก 500 เมตรเป็นลาน ฮ. กว้างๆ เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน หลังการนั้นเราก็จะพบกับความท้าทายอีกหนึ่งขั้นในการที่จะต้องขับ นิสสัน ลีฟ ลงเขากลับมาให้ถึงโรงแรมด้วยไฟฟ้าในแบทเตอรีที่มีเหลืออยู่ โดยมีตัวช่วยจากระบบฟื้นฟูพลังงานในโหมดการขับ B ในขณะขับลงทางลาดชัน, ชะลอความเร็วหรือเบรกระบบจะมีการชาร์จไฟกลับไปเก็บไว้ในแบทเตอรีเพื่อนำไปใช้งานต่อไป (Regenerative Braking System) นอกจากนี้เรายังเสริมด้วยโหมด ECO เพื่อเพิ่มความประหยัดพลังงานให้สามารถพาเรากลับที่ตั้งได้ด้วย
จากการที่เราชาร์จแบทเตอรีเต็มมาจาก รร. เกจ์วัดแจ้งว่าเราสามารถเดินทางได้ประมาณ 300 กม. หลังจากที่เราขับทั้งทางราบและขึ้นเขาจนถึงยอดดอยเป็นระยะทางราว 100 กม. หน้าปัดแจ้งว่า เราเหลือไฟฟ้าในแบทเตอรีอีก 36% สามารถเดินทางได้อีกแค่ 63 กม. เป็นโจทย์ใหญ่ท้าทายความสามารถเราอย่างมากเพราะเราต้องเดินทางกันอีกร่วม 100 กม. กว่าจะถึงจุดหมาย โดยที่เราต้องใช้ประโยชน์จากระบบที่จะช่วยรีชาร์จในขณะลงทางลาดชันและขณะเบรกให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เช่นนั้นเราคงไปไม่ถึงโรงแรมอย่างแน่นอน
หลังจากเริ่มออกสตาร์ท เราก็เริ่มใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่รถคันนี้มีอย่างเต็มที่ เราใช้โหมด B และ ECO รวมทั้งเพิ่มการแตะเบรกช่วยในขณะลงทางชันเพื่อที่ระบบจะทำการชาร์จไฟไปเก็บในแบทเตอรีให้มากที่สุด เราตั้งใจขับใช้ความสามารถกันทุกเม็ดเพื่อให้เหลือพลังงานให้มากที่สุดซึ่งจะเป็นการท้าทายวัดฝีมือกันในช่วงขากลับนี้ รถคันไหนใช้ไฟน้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะ นั่นก็คือนอกจากการขับที่ประหยัดพลังงานแล้วยังต้องหาวิธีที่จะเพิ่มไฟเข้ามาในแบทเตอรีให้มากที่สุดด้วย
100 กม.สุดท้ายเป็นไปอย่างเนิ่นนาน เราต้องขับอย่างละเอียดในทุกๆ จุด ใช้สมาธิและวางแผนการขับค่อนข้างมากทีเดียว จังหวะการแซงหรือเหยียบคันเร่งต้องนุ่มนวลเพื่อให้ใช้ไฟให้น้อยที่สุด เราใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็กลับมาถึงจุดหมายที่ รร. ตามมาตรวัดที่หน้าปัดเรายังเหลือไฟฟ้าในแบทเตอรีอีก 22% และรถคันนี้ยังวิ่งไปได้อีก 70 กม. เลยทีเดียว เท่ากับว่าเราใช้ระบบรีชาร์จไฟให้อย่างดีเยี่ยมจนสามารถเหลือไฟพอวิ่งใช้งานได้อีกไกลโขทีเดียวแม้ว่าจากจุดเริ่มต้นถ้าไม่มีการรีชาร์จที่ดี เรามีไฟไม่พอที่จะพาเราเดินทางกลับมา รร. ด้วยซ้ำ รถหมายเลข 6 ของเราได้ชัยชนะอันดับ 2 ในการชาเลนจ์ครั้งนี้ต่างจากที่ 1 เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถือว่าเราประสพความสำเร็จมากทีเดียวและใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง โดยที่รถคันนี้ค่ามลพิษจะเป็นศูนย์ ไม่มีไอเสียปล่อยออกมาเลยแม้แต่น้อย
จากการทดลองขับวันนี้ถือว่า นิสสัน ลีฟ เป็นรถไฟฟ้า 100% ที่มีคุณภาพสูงจากการที่ได้รับการปรับปรุงมาจากรุ่นก่อนหน้านี้จนได้รับความนิยมทั่วโลก ระบบต่างๆ ช่วยให้เราใช้งานได้สะดวกสบาย ใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า รวมไปถึงช่วยลดมลพิษในอากาศได้อย่างเด็ดขาดด้วย เป็นรถที่น่าใช้มาก แต่คงต้องใช้เวลาให้สิ่งที่จะมาประกอบการใช้งานในด้านต่างๆ ให้มีความพร้อมมากขึ้นเช่น สถานีเติมพลังงานไฟฟ้าซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 244 จุดทั่วประเทศ ในอนาคตอันใกล้เราคงได้เห็นรถประเภทนี้วิ่งตามท้องถนนมากยิ่งขึ้น รถไฟฟ้าจะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและสัมผัสได้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำอธิบายเล่าขานจากนักวิชาการหรือสื่อมวลชนเท่านั้น
อัฐฒา นายเรือ
****************************************************************************************************************************************
ข้อมูลรายละเอียดของ นิสสัน ลีฟ
เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving)
เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะที่โดดเด่นในลีฟ ใหม่ คือ อี-เพดัล (e-Pedal) ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้ขับขี่ในการออกตัว เร่งความเร็ว ชะลอความเร็ว หยุดนิ่งและควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว ถือเป็นนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการขับขี่ได้อย่างสิ้นเชิง
ด้วยอัตราการชะลอความเร็วที่สูงถึง 0.2G เพียงยกเท้าออกจากคันเร่งตัวรถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่งได้อย่างนุ่มนวลโดยไม่จำเป็นต้องแตะแป้นเบรก เทคโนโลยี e-Pedal ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องยกเท้าจากแป้นคันเร่งเพื่อเหยียบแป้นเบรกบ่อยครั้งเมื่อต้องการชะลอระดับความเร็วหรือหยุดรถซึ่งช่วยลดความเมื่อยล้าและเพิ่มความเพลิดเพลินในการขับขี่
นิสสัน ลีฟ ใหม่ ยังติดตั้งเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง ได้แก่
เทคโนโลยีเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning: FCW)
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉิน (Forward Emergency Braking: FEB)
กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor : IAVM)
พร้อมเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving ObjectDetection: MOD)
เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Active Trace Control: ATC)
และเทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Alert: DAA)
หน้าจอแสดงข้อมูล และสวิตช์ควบคุมต่างๆ ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบให้มีความฉลาด และใช้งานง่ายขึ้นโดยที่มีความโดดเด่นมากที่สุด คือ การผสมผสานระหว่างมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อกกับหน้าจอแสดงผลแบบ multi-information ด้านซ้าย หน้าจอสีแบบ Thin-film Transistor (TFT) ขนาด 7 นิ้ว บอกปริมาณกำลังไฟฟ้าที่ใช้ตามการกำหนดค่ามาตรฐาน
โดยคนขับสามารถเลือกแสดงข้อมูลตามที่ต้องการ หน้าจอแสดงผลตรงกลางแบบ Flush-surface ช่วยให้ผู้ขับขี่สะดวกต่อการเลือกระบบความบันเทิง รวมทั้งแสดงให้เห็นการทำงานของเทคโนโลยี Safety Shield ระดับการชาร์จไฟของรถ และพลังงานที่เหลืออยู่ รวมถึงระบบเสียง และข้อมูลระบบนำทาง
ข้อมูลจำเพาะของนิสสัน ลีฟ ใหม่ (รุ่นวางจำหน่ายในประเทศไทย)
ภายนอก
ความยาวของตัวรถ (มม.) 4,480
ความกว้างของตัวรถ (มม.) 1,790
ความสูงของตัวรถ (มม.) 1,540
ฐานล้อ (มม.) 2,700
ความกว้างระหว่างล้อ คู่หน้า/คู่หลัง (มม.) 1,530/1,545
ความสูงจากพื้นรถ (มม.) 150
สัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ 0.28
ยางรถยนต์ 215/50R17 91V
พื้นที่เก็บสัมภาระ 435 ลิตร
น้ำหนัก / ความจุ
ความจุ 5 ที่นั่งผู้โดยสาร
น้ำหนักสุทธิของรถ 1,523 กิโลกรัม
แบตเตอรี่
ประเภท แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน
ความจุ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง
มอเตอร์ไฟฟ้า
ชื่อรุ่น EM57
กำลังขับสูงสุด 110 kW (150 ps)/3283~9795 rpm
แรงบิดสูงสุด 320 N・m (32.6 kgf・m)/0~3283 rpm
สมรรถนะ
ระยะทางที่สามารถขับขี่ได้ 311 กิโลเมตร (NEDC mode)
การชาร์จแบบปกติ (เวลาในการชาร์จ) 12 hours (3.6 kW) ชั่วโมง 6 hours (6.6 kW) ชั่วโมง เวลาในการชาร์จจากระดับแจ้งเตือนถึง 80เปอร์เซ็นต์ 40 นาที (การชาร์จแบบเร็ว)
วิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
เจ้าของนิสสัน ลีฟ สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ได้ถึงสามวิธีหลักๆ ประกอบด้วย การชาร์จจากไฟบ้านปกติ (standard outlet charging) การชาร์จจากอุปกรณ์ชาร์จติดผนัง หรือ wall box charging และรวมถึงการชาร์จแบบด่วนหรือที่เรียกว่า Quick Charge ซึ่งสำหรับรายละเอียดของการชาร์จแบบต่างๆ มีดังนี้
การชาร์จจากไฟบ้านปกติ (standard outlet charging)
เช่นเดียวกับการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จสมาร์ทโฟน ซึ่ง 80-90 เปอร์เซ็นต์ของเจ้าของรถนิสสัน ลีฟ ส่วนใหญ่เลือกที่จะชาร์จรถยนต์ที่บ้านโดยใช้เคเบิลอเนกประสงค์ (EVSE cable) ที่มาพร้อมกับรถยนต์ โดยส่วนมากเป็นการชาร์จแบบข้ามคืนใช้เวลาชาร์จประมาณ 12-16 ชั่วโมง
การชาร์จจากเครื่องชาร์จไฟฟ้า หรือ wall box charging จากที่บ้าน ที่ทำงาน หรือในที่ๆ อื่นๆ ที่มีการติดตั้งซึ่งจะสามารถชาร์จไฟฟ้าให้เต็มได้ภายในระยะเวลา 6-8 ชั่วโมง
การชาร์จแบบด่วนหรือที่เรียกว่า Quick Charge
เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง โดยใช้เวลาชาร์จเพียงแค่ 40-60 นาทีเพื่อชาร์จให้แบตเตอรี่มีความจุที่ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนใหญ่มักมีติดตั้งในพื้นที่ที่ชาร์จสะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้าหรือที่สาธารณะต่างๆ
นิสสัน ลีฟ จะมีการรับประกันคุณภาพรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมการรับประกันระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และการรับประกันการเสื่อมของแบทเตอรีเป็นเวลา 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร อีกด้วย
ขอขอบคุณ : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับการอำนวยความสะดวกตลอดทริปการทดลองขับในครั้งนี้