HONDA Insight เจเนอเรชันที่ 3 || ขับเคลื่อนด้วย Two-motor Hybrid System

817 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ภาพและภาพยนตร์ : American Honda Motor Co., Inc.
เรียบเรียง : Pitak Boon

 

 

 

Honda Insight ถูกพัฒนาสู่เจเนอเรชันที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2019 ต่อเนื่องมาจนถึงรถโมเดลปี 2020 โดยระบบไฮบริด ได้รับการอัพเกรดทั้งหมด ส่งผลให้ Insight กลายเป็นรถไฮบริดที่สมบูรณ์แบบที่สุดอีกหนึ่งโมเดลในเวลานี้ ตัวรถใช้พื้นฐานโครงสร้างร่วมกับ Civic ‘เจน 10’ (FC&FK) ที่ดีไซน์มารองรับอุปกรณ์ของระบบไฮบริดอยู่แล้ว เป็นโครงสร้างประเภทโมโนค็อก ผลิตจากเทคโนโลยี ‘ACE’ (Advanced Compatibility Engineering) ที่เสริมความแข็งแรงเข้าไปตามส่วนต่างๆ ของโครงสร้าง ประกอบด้วย high-strength steel มากถึง 59% และ ultra-high-strength steel อีก 12%

โครงสร้างใหม่ของ Insight แข็งแรงขึ้น และรับการบิดตัวได้มากขึ้น แต่มีน้ำหนักลดลง ด้วยการแทนที่บางชิ้นส่วนด้วยอะลูมีเนียม (2%) ได้แก่ ฝากระโปรงหน้า และคานกันชนหน้า ซึ่งลดน้ำหนักได้ราว 10.34 กิโลกรัม โดยน้ำหนักของ Insight ‘เจน 3’ จะอยู่ระหว่าง 1,354-1,369 กิโลกรัม ตามระดับเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งสเป็คอเมริกาจะมี 3 ระดับให้เลือก คือ LX, EX และ Touring โดย LX และ EX ใช้ล้อขนาด 16 นิ้ว ขณะที่ Touring หล่อกว่าด้วยล้อ 17 นิ้ว



 

ขุมพลังไฮบริดของ Insight มาพร้อม ‘Two-motor Hybrid System’ หรือ ระบบไฮบริดแบบมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ซึ่ง HONDA พัฒนามาจนถึงเจเนอเรชันที่ 3 ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Atkinson-cycle เครื่องยนต์ผลิตจากอะลูมีนัมอัลลอยทั้งบล็อก มาพร้อมเทคโนโลยีพื้นฐาน ได้แก่ระบบ i-VTEC ที่เป็นการผนวกรวมระบบ VTEC (Variable Valve Timing and Lift Electronic Control) กับระบบวาล์วแปรผันฝั่งไอดี VTC (Variable Timing Control) โดยในเครื่องยนต์บล็อกนี้ ยกระดับมาใช้ E-VTC (Electronic Variable Timing Control) ที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วกว่าการควบคุมด้วยกลไกแบบเก่า เครื่องยนต์เป็นแบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC ขนาดความจุ 1,498 ซีซี ใช้อัตราส่วนกำลังอัด 13.5:1 ระบบฉีดน้ำมันยังคงเป็น Port Injection ปิดท้ายด้วยระบบควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง PGM-FI (Programmed Fuel Injection)



จุดเด่นของเครื่องยนต์ HONDA สมัยใหม่ อยู่ที่การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนเคลื่อนที่ทั้งหมด อาทิ การใช้ลูกสูบอะลูมีเนียม และที่ส่วนกระโปรงลูกสูบเคลือบด้วยสารเพิ่มความลื่น ลดแรงเสียดทานขณะลูกสูบเคลื่อนที่ภายในกระบอกสูบ, ปั๊มของระบบหล่อลื่นแบ่งการทำงานเป็น 2 สเต็ป ตามสภาพโหลด รวมทั้งออกแบบชุดเพลาราวลิ้นให้มีแรงเสียดทานต่ำ และการใช้ชุดเพลาลูกเบี้ยวที่มีน้ำหนักเบายิ่งขึ้น จากคุณสมบัติพื้นฐานเรื่องความลื่น น้ำมันเครื่องจึงแนะนำค่าความหนืดมาที่ระดับ 0W-20

                             

เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Atkinson-cycle สร้างกำลังได้ 107 แรงม้า (SAE net) ที่ 6,000 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 135 Nm ที่ 5,000 รอบ/นาที ในส่วนของ ‘Two-motor Hybrid System’ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวแรกถูกเรียกว่า Propulsion Motor ทำหน้าที่ ‘ขับเคลื่อนรถ’ เพียงอย่างเดียว ตัวที่สองเป็น Generator Motor ทำหน้าที่ ‘ปั่นไฟ’ เพียงอย่างเดียวเช่นกัน ดังนั้นระบบไฮบริดใน Insight จึงสามารถขับเคลื่อน พร้อมกับปั่นไฟป้อนกลับเข้าแบตเตอรี่ได้ในเวลาเดียวกัน โดย Propulsion Motor ซึ่งเป็นแบบ AC Synchronous Permanent-Magnet ผลิตกำลังได้สูงถึง 129 แรงม้า (SAE net) ที่ 4,000-8,000 รอบ/นาที กับแรงบิด 267 Nm ตั้งแต่มอเตอร์เริ่มหมุน 0-3,000 รอบ/นาที


แรงม้ารวมของระบบไฮบริดใน Insight เจเนอเรชันที่ 3 ถูกเคลมมาในระดับ 151 แรงม้า (SAE net) ที่ 6,000 รอบ/นาที แบตเตอรี่ของระบบไฮบริดเป็นแบบ ลิเทียมไอออน 60-cell โดยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรุ่น Touring ในเมือง, เดินทาง และเฉลี่ย อยู่ที่ 21.68, 19.13 และ 20.40 กิโลเมตร/ลิตร ตามลำดับ

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้