FERRARI Monza SP1 & SP2 || รถสะสม...สำหรับเจ้าสัวสายแข่ง

1902 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ภาพและภาพยนตร์ : Ferrari S.p.A.
เรียบเรียง : Pitak Boon

 

 

 

บรรดาตัวแข่งจาก Ferrari ในอดีต อาทิ 166 M ปี 1948, 750 Monza ปี 1955 และ 860 Monza ปี 1956 ทั้งหมดถูกสร้างไปไล่ล่ารางวัลในสนามแข่ง และ Ferrari ก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับรถแข่งจาก Ferrari ในวันนี้ จากประสบการณ์อันยาวนานในวงการมอเตอร์สปอร์ต ส่งผลให้แบรนด์ม้าลำพองกลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานในทุกยุคทุกสมัย สำหรับ Ferrari Monza โมเดล SP1 และ SP2 เป็น ‘Special-series’ ทำหน้าที่สานต่อตำนานของค่าย ในรูปแบบ Limited Edition ซึ่งโรงงาน Ferrari ผลิตขึ้นมาเพียงไม่กี่คัน และตั้งราคาไว้แพงมหาศาล เพื่อให้เป็นรถสะสมของบรรดาเจ้าสัวโดยเฉพาะ

 

Special-series ทั้ง 2 โมเดล ได้รับการต่อยอดมาจาก 812 Superfast ซูเปอร์คาร์วางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ทีมออกแบบรีดีไซน์ตัวถังส่วนบนใหม่ทั้งหมด ด้วยธีมย้อนยุคกลับไปสานตำนานตัวแข่งช่วงปี 1950 จากนั้นเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนสมัยใหม่ของ Ferrari เพื่อให้ได้รถคลาสสิคที่อัดแน่นไปด้วยสมรรถนะ ผลลัพธ์ที่ได้ Monza SP1 และ SP2 แทบไม่เหลือเค้าโครงของ 812 Superfast ให้ตามสืบอีกต่อไป โดยทั้งคู่จะถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน Ferrari ในเมือง Maranello



แม้รูปทรงของ Monza SP1 และ SP2 จะถูกอ้างอิงมาจากรถแข่ง แต่ยังคงติดอุปกรณ์มาให้ครบถ้วน รองรับการวิ่งบนถนนหลวงได้อย่างถูกกฎหมายเช่นเดียวกับรถ Ferrari เวอร์ชันปกติ ตัวถังของ Monza SP1 ใช้โทนหลักเป็นสีเทาฟ้า คาดขวางด้วยเส้นสีเหลือง มีเพียง 1 ที่นั่ง นำเสนอประสบการณ์ฮาร์ดคอร์ระดับรถแข่ง ส่วน Monza SP2 ลดดีกรีความเข้มลงเล็กน้อย ด้วยรูปแบบ 2 ที่นั่ง เผื่อแผ่สาวๆ ที่อาจขอติดรถไปด้วย ตัวถังเน้นความลึกลับด้วยสีดำเงา แต่ยังคงอารมณ์ดุดันสไตล์ตัวแข่งเช่นกัน เพราะทั้ง 2 โมเดล ปราศจากกระจกบังลมหน้า ส่วนหลังของเบาะนั่งติด ‘โรลบาร์’ พร้อมโครงค้ำช่วยป้องกันกรณีรถพลิกคว่ำ โดยโครงค้ำออกแบบเป็นสามเหลี่ยม ใช้รูปทรงตามหลักแอร์โร่ไดนามิค สูตรเดียวกับ F1 ส่วนพื้นผิวตัวถัง รวมทั้งโครงสร้างรถหลายส่วน ยกระดับไปใช้คาร์บอนไฟเบอร์เพื่อลดน้ำหนัก



นอกจากเรื่องความคลาสสิคในส่วนของดีไซน์ หัวใจของความเป็น Ferrari ใน SP1 และ SP2 ยังอยู่ที่เครื่องยนต์ไม่เปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าใช้ขุมพลัง V12 สูบ, NA (Naturally Aspirated) ขนาด 6,469 ซีซี จาก 812 Superfast เสื้อสูบรูปตัว V วางทำมุม 65 องศา, ชุดเพลาราวลิ้น DOHC ติดตั้งวาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดี และไอเสีย, ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงใช้แบบ GDI (Gasoline Direct Injection) ปลดปล่อยแรงดันที่ปลายหัวฉีดได้สูงสุดถึง 350 บาร์, ส่วนข้างลูกสูบเคลือบด้วยกราไฟท์ เพื่อลดแรงเสียดทานจากการเลื่อน ขึ้น-ลง ของลูกสูบ



จากนั้นลดน้ำหนัก พร้อมลดแรงเสียดทางของกลไกภายในเครื่องยนต์ในทุกส่วน เป้าหมายเพื่อเพิ่มความฉับไวในการตอบสนองของเครื่องยนต์ ขณะที่ระบบหล่อลื่นเป็นไปตามมาตรฐานเครื่องแข่งด้วย Dry Sump เครื่อง V12 NA บล็อกนี้ ปิดตัวเลขแรงม้าในระดับ 810 PS (596 kW) ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิด 719 Nm ที่ 7,000 รอบ/นาที ถูกจับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 7 สปีด เพื่อปลดปล่อยม้าฝูงใหญ่ลงล้อคู่หลัง ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เร็วเพียง 2.9 วินาที และเร่งผ่าน 200 กม./ชม. ด้วยเวลา 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุดโรงงาน Ferrari เคลมมาไว้กว่า 300 กม./ชม.

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้