ท่องหัวหิน กินซีฟู๊ด บูสต์สุดคันเร่งกับ Mercedes-AMG Performance Tour

1968 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โดย กรลรรคน์ เฉียบฉลาด

 

เมื่อวันที่ 1 - 2 กันยายน ที่ผ่านมา ทาง www.lifestyle224.com ก็ได้รับจดหมายเชิญจากทางบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ไปร่วมการทดสอบสุดยอดยนตกรรมในกลุ่ม Mercedes-AMG กับกิจกรรม Mercedes-AMG Performance Tour

พูดถึง Mercedes-AMG เหล่านักเลงรถเท้าหนักย่อมรู้ดีกว่าความแรงของรถในตระกูลนี้แต่ละคันไม่มีคำว่าธรรมดา เพราะขนาดในรุ่นเล็กสุดอย่าง Mercedes-AMG CLA35 4Matic Coupe’ แรงม้าที่มีให้ใช้ยังอยู่ที่ 306 แรงม้า ส่วนพวกพี่เบิ้มอย่าง Mercedes-AMG ในตระกูล GT โน่นครับว่ากันที่ระดับเกินครึ่งพันเป็นอย่างต่ำ

ก่อนเริ่มกิจกรรม 1 วัน เรามีนัดไปรับรถ C300e สำหรับใช้ในการเดินทาง โดยตอนแรกที่วางไว้รถในขบวนทั้งหมดจะเป็นรถตระกูล Mercedes-AMG แต่เนื่องจากในวันที่ 3 และ 4 กันยายน ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีอีก 1 กิจกรรมที่ต้องใช้รถ Mercedes-AMG เหมือนกันที่จังหวัดสงขลา ก็เลยขออนุญาตสลับเอารถในตระกูล Plug-In Hybrid มาให้ใช้ในการเดินทางแทน ซึ่งถึงแม้ว่า C300e จะเป็นรถแบบ Plug-In Hybrid แต่ดูจากแรงม้าที่มีให้ใช้คือ 320 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดระดับ 700 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 9 จังหวะ 9G-Tronic บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดานะคร้าบ ยิ่งมีระบบ Dynamic Select ให้ปรับโหมดการขับตามความชอบของคนขับด้วยแล้ว 555 สนุกตรูล่ะ

ข้อดีของรถที่ใช้เครื่องยนต์ Hybrid ก็อย่างที่เราทราบกันคือ ถ้าคุณรู้จักระบบ รู้จักวิธีการขับ สิ่งที่คุณจะได้ก็คืออัตราการสิ้นเปลืองที่ต่ำมาก เนื่องจากในช่วงที่แบตระบบ Hybrid เต็ม รถจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าจากมอเตอร์เพียงอย่างเดียว ส่วนเครื่องยนต์ก็จะถูกตัดการทำงาน จนเมื่อแบตเริ่มตกลงมาถึงจุดที่กำหนด เครื่องยนต์ก็จะสตาร์ทติดขึ้นมาใหม่โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณต้องการพละกำลังในการเร่งแซง เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะทำงานผสานกันเพื่อเรียกแรงม้าแรงบิดให้มาได้อย่างทันใจ

เช้าวันเดินทาง เหมือนฟ้าจะกลั่นแกล้ง เพราะพายุฝนห่าใหญ่ถล่มกรุงเทพตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ทำให้เรากังวลใจว่าปลายทางข้างหน้าที่รอเราอยู่ที่หัวหินจะเป็นยังไง การขับรถแรงระดับ 500 แรงม้าในสภาพถนนที่เปียกชื้น บอกตรง ๆ ว่าผมก็ไม่กล้าเสี่ยง พลาดพลั้งไปอาจจะกระดูกออกนอกเนื้อเอาง่าย ๆ แถมค่าเสียหายที่ตามมาบอกเลยว่าต่อให้ขายไตก็อาจไม่พอ

เราเร่งออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกหนีการจราจรที่แออัดของกรุงเทพและถนนพระราม 2 ที่ตอนนี้มีการซ่อมแซมพื้นผิวจราจรอยู่ เกรงว่าอาจจะมีหลับคารถ โดยในการเดินทางเราเลือกใช้โหมดการขับขี่แบบ ECO ที่เน้นประหยัดและนุ่มนวล ทำให้ขับไปสักพักก็เริ่มมีอาการเคลิ้ม ๆ บ้าง และหลังจากนั้นไม่นานเราก็ถึงแยกวังมะนาว ซึ่งตามปกติเราจะฝากท้องที่ร้านข้าวแกงในปั๊ม ปตท. แต่เนื่องจากช่วงนี้ทางปั๊มมีการปิดปรับปรุงพื้นที่ทำให้เราเบนเข็มไปที่ปั๊ม ESSO ที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก เพื่อแวะจิบกาแฟกับขนมประทังความหิว แต่เมื่อเลี้ยวเข้าปั๊ม ESSO มา เราก็เจอกับ Mercedes-Benz S350d ของพี่ดอม คุณอัชฌ์ บุณยประสิทธิ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด จอดอยู่ก่อนแล้วก็เลยเดินเข้าไปสวัสดีทักทายกันตามประสาคนคุ้นเคย

กาแฟรสเข้ม + แซนวิชซื้นโตช่วยรองท้องได้ไม่น้อย ซึ่งในช่วงที่นั่งทานกาแฟ เราก็พูดคุยกับพี่ดอมถึงรายละเอียดของกิจกรรมวันนี้ โดยจากข้อมูลที่พี่ดอมให้มากคิอในช่วงบ่ายของวันตลอดจนถึงครึ่งวันเช้าของวันรุ่งขึ้น ทางเบนซ์ได้เตรียมรถ Mercedes-AMG ให้เราได้สัมผัส 3 รุ่น 3 แบบคือ Mercedes-AMG C63S Coupe’, Mercedes-AMG GT53 4 Matic+ 4-Door Coupe’และ Mercedes-AMG GTC Roadster (จริง ๆ จะต้องมีทั้งหมด 4 คัน หากแต่เจ้ายักษ์เขียว Mercedes-AMG GTR เจ้าของฉายา The Beast of the green hell ดันติดภาระกิจสำคัญจึงไม่ได้ร่วมขบวนมาด้วย) 

จุดหมายต่อไป ก็คือร้านชมทะเล ที่บริษัทรถยนต์หลาย ๆ บริษัทมักจะพานักข่าวไปฝากท้องช่วงมื้อกลางวันอยู่บ่อย ๆ โดยการเดินทางในช่วงนี้ เราปรับโหมดการขับมาที่ Sport เพื่อเพิ่มความกระฉับกระเฉงให้กับเจ้า C300e ซึ่งความแตกต่างที่เราสัมผัสได้ก็คือช่วงล่างจะถูกปรับให้แข็งขึ้นกว่าในโหมด ECO ทำให้เวลาที่วิ่งในช่วงความเร็วจะรู้สึกได้ว่ารถเฟิร์มขึ้น มั่นใจขึ้น นั่นเลยทำให้เราขับขี่ได้สนุกมือจนเผลอแป๊ปเดียวเราก็มาถึงที่หมาย อาหารทะเลรสเลิศกับน้ำมะพร้าวแช่เย็นเป็นมื้อกลางวันที่ทำให้บรรดากระจอกข่าวอย่างเราอิ่มจนแทบไม่อยากจะทำอะไรต่อ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะได้สัมผัส ทำให้เราเร่งออกเดินทางต่อไปที่โรงแรม Avani Hua Hin ซึ่งจะเป็นที่พักของเราในครั้งนี้ และเมื่อไปถึง เราก็ได้พับกบ พบกับฝูง Mercedes-AMG ที่จอดรอให้เราได้พิสูจน์กับสมรรถนะ

สำหรับ Mercedes-AMG ทั้ง 3 รุ่น ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก ทาง AMG ได้ดีไซน์ชุดแอโร่พาร์ทรอบคันให้รับกับหลักอากาศพลศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กันชนหน้าแบบที่เป็นสปอยเลอร์ในตัวพร้อมช่องดักอากาศขนาดใหญ่ ส่วนด้านข้างจะมีสเกิร์ตเพื่อช่วยจัดระเบียบอากาศด้านข้างตัวรถ ในขณะที่กันชนหลังก็จะเป็นแบบที่มี Diffuser เพื่อรีดอากาศใต้ท้องให้ไหลออกด้านท้ายได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ที่ด้านบนของฝากระโปรงหลังก็จะมีตัวสปอยเลอร์หลังติดตั้งมาให้เพื่อเพิ่มแรง Down Force กดท้ายให้นิ่งในยามที่วิ่งด้วยความเร็วสูง

ส่วนภายในเมื่อเปิดประตูเข้าไปในรถ เราก็จะพบกับเบาะทรงกึ่ง ๆ Bucket Seat ที่ให้ความโอบกระชับตัวในยามนั่ง พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมทั้งยังมีปุ่มสำหรับปรับโหมดการขับ (Dynamic Select) และระบบช่วงล่างให้ผู้ขับสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม แผงหน้าปัดเป็นจอขนาดใหญ่สามารถปรับได้หลายรูปแบบ อีกทั้งยังแสดงผลการทำงานต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ได้ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง, อัตราการบูสต์, ค่าแรง G ฯลฯ พร้อมติดตั้งระบบ Head Up Display  เพื่อช่วยให้ผู้ขับสามารถมองเห็นความเร็วได้โดยที่ไม่ต้องละสายตาจากถนน

มาต่อกันที่ส่วนของเครื่องยนต์ สำหรับรุ่น GT53 4 Matic+ 4-Door Coupe’ จะใช้เป็นเครื่อง V6 Turbo ขนาด 3.0 ลิตร ให้พละกำลังอยู่ที่ 435 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร พร้อมทั้งยังมีระบบ EQ Boost ที่เป็นมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยเพิ่มพละกำลัง 22 แรงม้ากับแรงบิดอีก 250 นิวตัน-เมตร ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ AMG Speedshift TCT 9G 9 จังหวะ ในขณะที่ Mercedes-AMG C63s Coupe’ และ Mercedes-AMG GTC Roadster จะใช้เป็นเครื่องยนต์แบบ V8 4.0 ลิตร BI Turbo ที่ประกอบด้วยมือจากวิศวกรของ AMG หนึ่งคนต่อเครื่องหนึ่งตัวหรือ  “One Man On One Engine” ซึ่งที่ตัวเครื่องยนต์จะมีเพลทที่สลักลายเซ็นต์ของวิศวกรผู้ประกอบติดอยู่ โดยในตัว C63s Coupe’ แรงม้าสูงสุดจะอยู่ที่ 510 แรงม้า รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ถ่ายทอดกำลังผ่าน AMG Speedshift MCT 9 Speed Sport Transmission ในขณะที่เจ้า GTC Roadster ถึงแม้ว่าจะใช้เครื่องขนาดเดียวกันแต่ทว่าแรงม้าสูงสุดจะพุ่งทะลุขึ้นไปอยู่ที่ 557 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 680 นิวตัน-เมตร และใช้เกียร์ 7 สปีด AMG SPEEDSHIFT DCT 7G เป็นตัวถ่ายทอดกำลัง

และแล้วก็ถึงเวลาแห่งความเร้าใจ โดยคันแรกที่เราได้สัมผัสก็คือเจ้า C63s ซึ่งเมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่จะเริ่มขับ เราก็ขอปรับตำแหน่งการนั่ง ตำแหน่งพวงมาลัย รวมถึงตำแหน่งของกระจกมองข้างและกระจกมองหลังให้เหมาะสมกับมุมมองและสรีระของตัวเรา เมื่อทุกอย่าง Get Ready ก็เหยียบเบรกแล้วกดปุ่ม Start เสียงเครื่องยนต์ V8 ครางกระหึ่ม ปลุกโสตประสาทให้รับรู้ได้ว่าเครี่องยนต์ที่แฝงม้า 510 ตัวนั้นพร้อมพาคุณทะยานแล้ว คันเกียร์ที่อยู่ข้างขวามือถูกขยับลงมาในตำแหน่ง D เพื่อนำเจ้า C63s ออกเดินทาง โดยเส้นทางที่เราวางไว้ในหัวก็คือออกจากโรงแรมเลี้ยวซ้ายวิ่งผ่านตลาดหัวหินแล้วขึ้นสะพานที่มุ่งหน้าไปปราณบุรี จากนั้นก็จะเลี้ยวเข้าเส้นบายพาสวิ่งย้อนกลับมาเข้าโรงแรม รวมระยะทางน่าจะประมาณ 40 กม. ซึ่งก็น่าจะเพียงพอต่อการทดลองขับแล้ว โดยในช่วงแรกเราปรับโหมดการทำงานไว้ที่ ComFort เพื่อขอทำความรู้จักกับรถก่อน

สิ่งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้เราก็คือจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เพียงแค่ไม่ถึง 2,000 รอบ เกียร์ก็จะเปลี่ยนในตำแหน่งที่สูงขึ้นซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะแรงบิดสูงสุดที่มาในรอบต่ำ ส่งผลให้เจ้า C63s ขับง่ายเสมือนกับรถ C-Class ตัวสแตนดาร์ด พวงมาลัยจับได้กระชับมือช่วยให้คอนโทรลรถได้ง่าย นั่นทำให้เราย่ามใจจนลืมว่าเราขับรถในตระกูล AMG อยู่ แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อเราเผลอเติมคันเร่งเพื่อแซงรถที่อยู่ข้างหน้า เครื่องยนต์ 510 แรงม้ากระชากเจ้า C63s พุ่งทะยานอย่างฉับไวชนิดที่ว่ารถคันที่เราแซงมากำลังวิ่งถอยหลังหรือเปล่าหว่า เหลือบดูตัวเลขความเร็ว เข้...140 กม./ชม. เบาเถอะ เดี๋ยวงานมา

เราลดความเร็วลงมาอยู่ในระดับที่กฎหมายกำหนด แล้ววิ่งตามเส้นทางที่วางไว้ เพียงแต่ในช่วงนี้ก็เปลี่ยนมาขับแบบถ้าไม่จำเป็นจะไม่เบรก เรียกว่าพลิ้วซ้ายปลิวขวาไปตามจังหวะ เติมคันเร่งบ้าง ผ่อนคันเร่งบ้างตามแต่จะไปได้ เพื่อดูอาการช่วงล่าง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าช่วงล่างของเจ้า C63s นี้ถึงแม้จะอยู่ในโหมด Comfort ก็ยังให้การเกาะถนนที่หนึบมาก โยกซ้ายโยกขวาก็ไม่มีอาการโคลงหรือย้วยจนเหวอ และเมื่อขับใกล้ ๆ ถึงจุดหมายก็ขอทดสอบระบบเบรกหน่อยละกันว่าชุดเบรก AMG แบบ Carbon Ceramic ที่ติดตั้งมาจะสยบม้า 510 ตัวไหวไหม โดยเรากระแทกคันเร่งเดินความเร็วรถจนถึง 180 กม./ชม. จากนั้นก็เบรกเต็มที่ ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย เพราะมันสามารถลดความเร็วได้อย่างที่เรียกว่าสั่งได้ตามตีนจริง ๆ

วนกลับมาถึงโรงแรมก็เป็นอันจบกิจกรรมของวันแรกแต่เพียงเท่านี้ เรารับกุญแจห้องพักเพื่อเข้าไปล้างหน้าล้างตา พักผ่อนตามอัทยาศัย ก่อนไปร่วมรับประทานอาหารค่ำและพูดคุยกับมิสเตอร์บีเยิร์น  กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเดินทางมาร่วมในทริปนี้ พร้อมพูดคุยแบบเป็นกันเองกับสื่อมวลชนที่มาร่วมงาน ส่วนสาระที่คุยในวงสนทนาจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลกระทบในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมาตลอดจนทิศทางการตลาดต่อจากนี้ไปของ Mercedes-Benz ในประเทศไทย รวมถึงการทำการตลาดของ Mercedes-AMG ต่อจากนี้ไป ซึ่งบอกใบ้ให้ก่อนเลยว่ามีโมเดลใหม่ตามเข้ามาอีกแน่นอน ดังนั้นแฟนพันธุ์แท้ทั้งหลายกำเงินรอได้เลยจ้าาาาา

รุ่งเช้าเรามีนัดกับเจ้า GT53 ซึ่งเป็นรถที่ใช้ระบบ AMG Performance 4 MATIC+ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เราก็เลยเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมไปวิ่งเส้นทางไปสนามกอล์ฟ Banyan ที่มีโค้งซ้าย-ขวาตอลดจนขึ้นเขา ลงเขาตามสภาพเส้นทางจริง โดยเราเลือกใช้โหมด Sport ในการขับตลอดเส้นทาง เพื่อที่จะได้ดึงสมรรถนะของรถให้ออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ เพราะเจ้า GT53 นั้นพาเราลัดเลาะไปตามเส้นทางได้อย่างเนียนกริ๊บ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามบีบเค้นขนาดไหนก็ไม่มีท้ายเป๋ท้ายปัดให้รู้สึก ส่วนเรื่องความแรงของขุมพลัง แม้จะไม่แรงแบบพวก C63s หรือ GTC แต่ 435 แรงม้าที่มีติดตัวมากับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า EQ Boost ก็ต้องบอกว่าขับได้สนุกไม่แพ้กัน

ส่งท้ายความเร้าใจกับการขับเจ้า GTC  Roadster รถสปอร์ตทรง GT เปิดหลังคาได้ ซึ่งก็เหมาะมากกับการมาเมืองชายทะเลแบบนี้ เสียดายก็แค่ที่หัวหินไม่ได้มีถนนวิ่งเรียบชายหาดเหมือนอย่างบางแสนหรือพัทยา ไม่งั้นอรรถรสในการขับคงมีสีสันขึ้นอีกเยอะ อ่อ...บอกก่อนะครับว่า GTC Roadster สามารถเปิดหลังคาได้โดยที่ไม่ต้องจอดหยุดนิ่ง เพียงแต่ความเร็วต้องไม่เกิน 50 กม./ชม. แต่เอาจริง ๆ ก็เปิดตอนรถจอดนิ่ง ๆ เถอะ เถอะปลอดภัยกว่าเยอะ แถมระยะเวลาการเปิด-ปิดหลังคาก็แค่ 11 วินาทีเองคงไม่ทำให้เสียเวลาอะไรมากมายนักหรอก และด้วยความเป็นคนตัวเล็กกว่าภูเขานิดเดียว (สูง 180 ซม. หนัก 155 กก.) เลยตัดสินใจที่จะขับแบบเปิดหลังคาตลอดการทดสอบ ซึ่งสิ่งที่รู้สึกว่าต้องปรับตัวอย่างแรงคือมุมมองของกระจกหลังและกระจกมองข้างจะแตกต่างมากับเจ้า 2 ตัวที่ผ่านมาตามสไตล์ของรถ GT ดังนั้นจึงต้องเตือนตัวเองว่าการจะแซงซ้ายแซงขวา ต้องมองให้ดี อย่าผลีผลามเด็ดขาด โดยในรอบนี้ตั้งใจว่าจะขอขับเอาความรู้สึกแบบรถ GT ขนานแท้ ดังนั้นระบบต่าง ๆ ที่มีมาให้จะขอใช้แบบ Full Option ด้วยการโหมดการขับแบบ Sport+ กันไปเลย

เราขับไปเรื่อย ๆ โดยใช้ความเร็วแบบที่มนุษย์ธรรมดาใช้กันก็คือ 80 – 120 กม./ชม. จากนั้นก็ลองเปลี่ยนเลนแบบกะทันหัน บอกเลยถ้าไม่ได้ลองกับตัวเองจะไม่เชื่อเลยว่าพวงมาลัยแบบรถ GT มันคมกริบขนาดนี้เลยหรือ แค่โยกนิดเดียวรถก็สะบัดออกไปทั้งคันแถมออกมาแบบฉับไว ไม่ใช่หัวออกก่อนแล้วท้ายถึงตามมา เอาว่าถ้าตกใจกระชากพวงมาลัยแรงเกินไปอาจมีแกว่งเข้ากำแพงเอาง่าย ๆ ช่วงล่างแบบ Sport+ หลายคนอาจจะรู้สึกไม่ชอบเพราะมันแข็งเวลาที่วิ่งด้วยความเร็วช้า ๆ แต่สิ่งที่ได้ทดแทนกลับมาก็คือการเกาะถนนในยามที่วิ่งความเร็วสูง ซึ่งรถแบบนี้ ถ้าสภาพถนนเปิดโล่ง ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครขับช้าหรอก

และแล้วความเลวบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว เพราะขับไปขับมาดันทะลึ่งไปนึกถึงเรื่อง TOP GUN ฉากที่เครื่องบิน F14 เทคออฟจากจุดหยุดนิ่ง ก็เลย เอาวะ....ขอสักทีละกัน ว่าแล้วก็เลยขับเจ้า GTC แอบเข้าเลนซ้าย พร้อมกับเปิด youtube หาเพลง Danger Zone ที่เป็นเพลงเปิดตัวของหนัง พอได้จังหวะก็จุ่มคันเร่งจมแบบ Full Throttle ทันที

557 ม้า 680 นิวตัน-เมตรของเครื่องยนต์ ส่งผ่านเกียร์ไปที่ล้อ เสียงยางบดถนนดังผ่านโสตประสาทแว่บเดียว จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรง G ที่หนักหน่วงเหมือนโดนคนเอาตีนถีบอกให้ติดกับเบาะ สมาธิต่าง ๆ ก็ถูกเพ่งไปอยู่บนถนนทั้งหมด โดยเจ้า GTC กระโจนจากหยุดนิ่งชนิดที่ว่าตัวเลขความเร็วทะยานจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาไม่ถึง 4 วินาที และเมื่อตัวเลขความเร็วเริ่มมีเลข 2 นำหน้า เราก็ถอนคันเร่งพร้อมกับชะลอความเร็วให้ลงมาอยู่ตามการใช้งานปกติเหมือนเดิม ส่วนความรู้สึกบอกได้เลยว่าทั้ง ๆ ที่เราทดสอบรถมาก็ไม่น้อยแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่กลัวรถเท่าครั้งนี้มาก่อน เพราะมันทั้งเร็ว แรง แบบไม่บันยะบันยังอะไรทั้งนั้น เอาว่าถ้าใครที่คิดจะมีรถแบบนี้ไว้ในครอบครอง ลองหาโอกาสไปคอร์สอบรมการขับแบบ Driving Experience สักครั้ง รับรองคุณจะขับรถได้สนุกขึ้นอีกเยอะเลย

ขับไปขับมาก็มาถึงจุดยูเทิร์นสำหรับกลับเข้าที่พัก ซึ่งเราก็กังวลใจว่าด้วยสรีระของเจ้า GTC ที่เป็นรถหน้ายาวท้ายสั้นอาจทำให้รัศมีวงเลี้ยวกว้างจนออกไปกินช่องทางการจราจรของรถคันอื่น แต่ด้วยการที่ GTC ใช้ระบบเพลาหลังแบบ Active Rear Axle Steering ที่จะหมุนเพลาล้อคู่หลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเพลาล้อคู่หน้าเมื่อใช้ความเร็วต่ำกว่า 100 กม./ชม. จึงทำให้การเลี้ยวกลับรถสามารถทำได้คล่องตัว ส่วนเมื่อความเร็วเกิน 100 กม./ชม.ขึ้นไป เพลาของล้อคู่หน้าและหลังก็จะหมุนไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเสริมสมดุลให้กับตัวรถ 

นับเป็นประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืมกับการสัมผัสเจ้า Mercedes-AMG ทั้ง 3 รุ่นนี้ สุดท้ายต้องขอขอบคุณทางบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเราร่วมในกิจกรรม Mercedes-AMG Performance Tour ครั้งนี้ ส่วนท่านที่สนใจอยากสัมผัสและทดลองขับรถ Mercedes-AMG ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Mercedes-AMG แล้วคุณจะรู้ว่าความเร้าใจมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้