Reboot Your Brain รักษาฟื้นฟูสมองแบบองค์รวม

849 จำนวนผู้เข้าชม  | 

การรักษาโรคทางสมองจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในความซับซ้อนทางกายวิภาคและหน้าที่ของระบบประสาท การตรวจร่างกายอย่างตรงจุดเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง และผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

นพ. อภิชาติ พิศาลพงศ์ ผู้อำนวยการ แผนกอายุรกรรมระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาท รพ.กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ทุกปัญหาที่เกี่ยวกับสมอง และระบบประสาท เราพร้อมให้การดูแลรักษา โดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ ทั้งทางด้านอายุรกรรมกับศัลยกรรมทางสมองเเละระบบประสาท รวมถึงแพทย์สหสาขาวิชา ทั้งแพทย์ด้านการดูแลผู้ป่วยขั้นวิฤต แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ ฯลฯ ที่มีความชำนาญ พร้อมด้วยเครื่องมือ เทคโนโลยีในการรักษา โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการรักษาที่ต้นเหตุและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ ร่วมกับการฟื้นฟูสมองโดยคำนึงถึงผู้ป่วยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ภายใต้ Concept : SMART คือ S : Specialist แพทย์เฉพาะทางแต่ละสาขา M : Modern การออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล ที่ได้มาตรฐานและวิธีการที่ทันสมัย A : Advanced มีความก้าวหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง R : Reputation เป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงและเป็นไปตามมาตรฐานสากล T : Technology มีการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและรักษา ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้ทันท่วงทีโดยผ่านศูนย์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยบีดีเอ็มเอส BDMS Medevac Center ซึ่งสามารถประเมินและจัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ

พร้อมทั้งมีการเชื่อมโยงรพ. ในเครือข่ายเพื่อให้การช่วยเหลือ รับปรึกษา ส่งต่อในกรณีที่ต้องการและติดตามการรักษาด้วย การรับปรึกษาทางระบบทางไกล ทั้งนี้ กระบวนการในการรักษาผู้ป่วยโรคทางสมองและระบบประสาท ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการรักษาในระดับสากล JCI จากประเทศสหรัฐอเมริกา

นพ.ชาญพงค์ ตังคณะกุล อายุรแพทย์โรคสมองและระบบประสาท รพ.กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมอง ถือเป็นโรคร้ายในลำดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตประชากรไทย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน เป็นโรคที่คนทุกวัยควรระวัง ทั้งผู้สูงอายุ คนวัยทำงาน และวัยรุ่น ซึ่งสามารถการสังเกตอาการดังนี้ “BEFAST” ของตนเองหรือคนใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ “B” คือ Balance เดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุน ฉับพลัน “E” คือ Eyes ตามัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อนฉับพลัน “F” คือ Face Dropping ยิ้มแล้วมุมปากตก “A” คือ Arm Weakness ยกมือแล้วกำไม่ได้ หรือแขนขาไม่มีแรง S คือ Speech Difficulty พูดไม่ชัด พูดไม่ออก และ “T” คือ Time to call ควรรีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่และนำส่งโรงพยาบาล ภายในช่วงเวลา 4.5 ชม.นับตั้งแต่สังเกตเห็นอาการ แพทย์จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยา rtPA ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งในคนไข้รายที่มีภาวะสมองขาดเลือดและไม่พบภาวะเลือดออกในสมอง จะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ทัน แต่สำหรับรายที่หากมาช้าเกิน 4.5 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ และวินิจฉัยว่าเซลล์สมองยังไม่ตายจากการอุดตันของลิ่มเลือดขนาดใหญ่ การให้ยา rtPA อาจไม่ทำให้อาการดีขึ้น ต้องอาศัยการรักษาโดยใส่สายสวนหลอดเลือดสมองเข้าช่วย โดยแพทย์จะพิจารณาว่าจะใช้วิธีการดูด หรือนำลวด หรือตะแกรงเข้าไปเกี่ยวลิ่มเลือดที่อุดตัน ฉะนั้นจึงมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ หากผู้ป่วยต้องได้รับการผ่าตัดต้องทำด้วยความระมัดระวังโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อวางแผนการรักษาให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกับผู้ป่วยมากที่สุด



นพ.นันทศักดิ์ ทิศาวิภาต ผู้อำนวยการ แผนกศัลยกรรมระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาท รพ.กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า การรักษาโรคหลอดเลือดสมองในภาวะเฉียบพลันทั้งชนิดขาดเลือดและแตกนั้น นอกจากการให้ยาละลายลิ่มเลือด การทำหัตถการใส่สายสวนเพื่อเปิดหลอดเลือดสมอง ยังมีการใช้เทคโนโลยี MRIเพื่อสแกนเนื้อสมอง จะสามารถเห็นความเสียหายได้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ได้ข้อสรุปการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ แพทย์จะใช้
Bi-Plane DSA เครื่องตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือด ช่วยในการดึงลิ่มเลือดอุดตัน แบบ Minimal Invasive โดยการใส่สายสวนเพื่อไปเปิดหลอดเลือดสมอง (ไม่เปิดกะโหลกศีรษะ) แต่จะมีแผลเล็กที่ขาหนีบตรงบริเวณที่ใส่สายสวนแทน หรือหากสมองมีอาการรุนแรงจนวิกฤต แพทย์จะเลือกวิธีการผ่าตัดสมองด้วยเทคนิคนำวิถี กำหนดพิกัดช่วยให้ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดสมองสามารถเปิดแผลศีรษะเฉพาะจุดที่ต้องการเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยมีบาดแผลเล็กลงอย่างมาก บางครั้งอาจผ่าตัดผ่านรูขนาดเล็กเพียง 1 – 2 เซนติเมตร ส่งผลให้ผู้ป่วยบาดเจ็บน้อย สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการ หรือเสียชีวิตต่ำกว่า เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดกับผู้ป่วยแต่ละราย ทางศูนย์สมองและระบบประสาท มีเครือข่ายโรงพยาบาลทั้ง BDMS และพันธมิตรอื่นๆ ช่วยทำให้การส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพ

พญ. ดวงพร รุธิรโก อายุรแพทย์ ด้านผู้ป่วยวิกฤต รพ.กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องในหอผู้ป่วยวิกฤติ หรือ ICU มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 3-5 วันแรก เนื่องจากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เลือดออกในสมอง เส้นเลือดสมองอุดตันซ้ำ สมองบวม ภาวะความดันในสมองสูง หรือการติดเชื้อ เป็นต้น การดูแลเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆ รวมถึงการให้การรักษาอย่างทันท่วงทีจึงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะระยะที่ 2 เช่น ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะสมองขาดออกซิเจน ภาวะชัก ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น ทำให้สมองสูญเสียหน้าที่มากขึ้น และเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและความพิการในผู้ป่วยวิกฤติทางสมองให้เหลือน้อยที่สุด

โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ใช้ระบบ Smart ICU เป็นนวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีทาง medical informatics โดยใช้คอมพิวเตอร์เก็บรวบรวมข้อมูลทางคลินิกต่างๆ ของผู้ป่วยแต่ละราย มีการประมวลผลอย่างแม่นยำและนำเสนอข้อมูลปริมาณมากแบบ real-time ในรูปแบบที่เอื้ออำนวยต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยวิกฤติทางสมอง ซึ่งต้องการการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแบบทันท่วงที ทั้งสัญญาณชีพ ระดับออกซิเจนในเลือด ปริมาณสารน้ำเข้า-ออก ระดับความดันภายในสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ คลื่นไฟฟ้าสมอง และข้อมูลที่จำเป็นต่อการรักษาทั้งหมดจะถูกบันทึกและสามารถทำมาเปรียบเทียบเพื่อประกอบการตัดสินใจรักษาผู้ป่วยได้ตลอดเวลาทั้งใน ICU และเพื่อรองรับระบบการปรึกษาทางไกล
ยังช่วยให้แพทย์และพยาบาลสามารถติดตามผลการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับตลอดเวลาและสามารถปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย



นพ.เอกกิตติ์ สุรการ ผู้อำนวยการศูนย์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยบีดีเอ็มเอส กล่าวว่า
เป้าหมายสำคัญในการลำเลียงผู้ป่วยทางสมองโดยอากาศยาน คือ “ความปลอดภัยของผู้ป่วย และการปกป้องไม่ให้สมองเกิดความเสียหายมากขึ้น” เนื่องจากโอกาสรอดชีวิต และคุณภาพชีวิตผู้ป่วยขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของสมอง การลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศจึงต้องยึดถือกฏนิรภัยการบิน ควบคู่กับมาตรฐานการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยทางสมอง

โดยมีมาตรฐานการดูแลขณะลำเลียงผู้ป่วยทางสมอง ดังนี้ 1.การดูแลทางเดินหายใจ และการหายใจ ผู้ป่วยต้องหายใจได้ดี ได้รับออกซิเจนเพียงพอต่อความต้องการของเซลล์สมอง และมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้สมองบวมเพิ่มมากขึ้น 2.การดูแลระบบการไหลเวียนโลหิต ภาวะฉุกเฉินทางสมองส่วนใหญ่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลงโดยเฉพาะบริเวณที่เกิดปัญหา ต้องดูแลและตรวจติดตามเพื่อให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองเพียงพอ 3.ตรวจการทำงานของสมอง และระบบประสาท ทีมแพทย์-พยาบาลต้องตรวจประเมินการทำงานของสมอง และระบบประสาทอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทราบในทันทีที่อาการเปลี่ยนแปลง 4. การปกป้องกันเซลล์สมองจากความเสียหายที่อาจเพิ่มขึ้น ทำได้โดยการป้องกันไม่ให้สมองทำงานหนัก และลดสิ่งกระตุ้น เพื่อลดความต้องการใช้ออกซิเจนจากการทำงานเพิ่มขึ้นของสมอง เช่น มีไข้ ชัก กระสับกระส่าย 5.การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับปัญหาทางสมอง ให้ผู้ป่วยพักในท่าที่สบาย ปรับตำแหน่งของศีรษะและลำคอให้เหมาะสม 6.การประสานงานเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจรักษาทันเวลา ผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินทางสมองต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องโดยเร็ว เพื่อเริ่มการรักษาที่จำเป็นได้ก่อนที่เซลล์สมองจะเสียหายจนไม่สามารถฟื้นตัวได้

ศูนย์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย BDMS Medevac Center มีทีมรับแจ้งเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง มีบริการอากาศยานทางการแพทย์ฉุกเฉิน (SKY ICU) ให้บริการรับ-ส่งคนไข้ฉุกเฉินเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วนตั้งแต่แรกรับ ด้วยอุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉินขั้นสูง ปฏิบัติงานบนเครื่องด้วยทีมแพทย์-พยาบาลที่มีความชำนาญและประสบการณ์ ตรงตามเกณฑ์มาตรฐานนิรภัยการบิน ขององค์กรการบินระหว่างประเทศ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้