หยุดอยู่บ้านก็ดูแลรถเองได้ง่ายๆ Covid19 เป็นเหตุ สังเกตได้(Part3) เปิดกระโปรง(รถ) เช็คเองง่ายๆ แต่ได้เรื่อง

1657 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Pakin Sirichat

 

เรื่องของไวรัสโควิด 19 ยังคงอยู่กับเราอีกค่อนข้างนาน แม้วัคซีนจะเริ่มทยอยเข้ามาให้ประชาชนได้เริ่มฉีดสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น แต่กว่าจะครบทั่วประเทศ และสามารถปลดล็อคดาวน์จนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติก็คงอีกนานหลายเดือน หลายๆ ท่านก็ยังคง Work form Home กันอยู่ ลูกหลายก็ยังเรียนในรูปแบบออนไลน์ การปรับตัว การใช้ชีวิตช่วงนี้หลายท่านก็คงอึดอัดกันพอสมควร แต่เพื่อสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และคนรอบข้างก็คงต้องช่วยๆ กันล่ะครับ

เอาล่ะ..เรากลับมาคุยกันในเรื่องของช่วง WFH รถก็ไม่ค่อยได้ขับไปไหนกัน แม้รถของหลายๆ ท่านจะใกล้หรือถึงระยะเข้าศูนย์เช็คระยะกันแล้ว แต่ก็ยังกลัวๆ จนไม่กล้านำรถเข้าศูนย์ การตรวจเช็ค สอดส่อง รถยนต์ด้วยตนเองในตอนจบ ครั้งนี้เราจะมาเปิดกระโปรงกัน..เดี่ยวๆ อย่าคิดลึก..เราจะมาเปิดกระโปรงรถกัน เพื่อตรวจเช็ค และสอดส่องความผิดปกติของเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ด้วยตนเองง่ายๆ สาวๆ หุ่นบอบบางไซส์ S ก็ทำได้แน่นอนครับ

 


เปิดกระโปรงรถแล้วเจออะไร..แน่นอนเปิดขึ้นมาคุณต้องเห็นเครื่องยนต์ลอยเด่นชัดออกมา ซึ่งถ้าเป็นหนุ่มๆ หรือสาวๆ ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรถ เครื่องยนต์กลไก จะงงหน่อยๆ..ว่านี่อะไรเต็มไปหมดเลย เอาใจเย็นๆ ค่อยๆ มาว่ากันในเรื่องของการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องด้วยตนเอง

 

 

เพื่อความเป็นมืออาชีพในกรณีที่ซื้อรถใหม่มาภายในเก๊ะเก็บของหน้ารถจะมีคู่มือ Book Manual ติดรถมาให้ หยิบออกมาเปิดดูช่วยประกอบในเรื่องของการตรวจเช็คได้ แต่ถ้าไม่มีก็ค่อยๆ ไล่ดูไปทีล่ะจุดแล้วกันครับ อย่างแรก และเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ แบตเตอรี่ โดยปกติจะซุกอยู่ในห้องเครื่องนี่แหละ(ยกเว้นรถยุโรป หรือรถไฮบริด จะย้ายไปซุกอยู่ในที่เก็บของท้ายรถบริเวณซุ้มยางอะไหล่เดิม)

 

 

ทำไมถึงให้ดูแบตเตอรี่เป็นอย่างแรก เพราะแบตเตอรี่มันคือ หัวใจของเรื่องระบบไฟภายในรถทั้งคัน ถ้าแบตเตอรี่มีปัญหาเช่นไฟอ่อน เครื่องยนต์ก็อาจสตาร์ทยากหรือสตาร์ทไม่ติดกันเลยทีเดียว รถสมัยใหม่นิยมติดตั้งแบตเตอรี่แบบ  Maintenance free หรือแบตเตอรี่แบบที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าแบตเตอรี่ยังเก็บประจุไฟได้ดีอยู่ไหม ที่ด้านบนของแบตเตอรี่จะมี “ตาแมว” ให้มองดู ถ้ามองผ่านตาแมวลงไปยังเห็นเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงินถ้าว่า แบตเตอรี่ยังสภาพดี และเก็บประจุไฟได้เต็ม

ถ้ามองลงไปแล้ว สีเขียวหรือสีน้ำเงินกลายเป็นสีแดง หมายถึงระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่เริ่มน้อยต้องนำรถไปให้ร้านแบตเตอรี่จัดการเปิด และเติมให้ หากมองลงไปแล้วสีกลายเป็นสีขาวกับจุดตรงกลางสีแดงนั่นหมายถึง แบตเตอรี่เริ่มเก็บกระแสไฟไม่อยู่(ควรชาร์จไฟ) ซึ่งตรงนี้ต้องรีบนำรถไปยังร้านที่ขายแบตเตอรี่เพื่อทำการตรวจเช็คสภาพของแบตเตอรี่ว่าเป็นอย่างไร โดยปกติอายุการใช้งานของแบตเตอรี่จะอยู่ในช่วง 2-3 ปี แต่ถ้าดูแลรักษาดีๆ สามารถใช้ยาวๆ ได้ถึง 5 ปีก็มี กลับกันถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบที่ต้องเติมน้ำกลั่น ก็หมุนฝาปิดที่เติมน้ำกลั่นทั้ง 6 อันออก แล้วเอาไฟฉายส่องลงไปในแต่ล่ะช่อง ดูว่า ระดับน้ำกลั่นมันต่ำกว่าขอบที่ยื่นลงไปแค่ไหน

 

 

ถ้าน้ำกลั่นยุบลงก็เดินไปซื้อน้ำกลั่นตามร้านอะไหล่หรือตามปั๊มน้ำมันบางที่ซึ่งมีวางจำหน่าย แล้วนำมาเติมให้พอดีกับขอบซึ่งที่อยู่ด้านในให้ครบทุกช่อง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ อ๋อ..อย่าลืมดูขั้วแบตเตอรี่ด้วย ซึ่งจะมีอยู่ 2 ขั่ว สายไฟสีแดงๆ จะเป็นขั้วบวก(+) และถ้าสายไฟสีดำจะเป็นขั้วลบ(-) หากขั้วแบตเตอรี่มีคราบขี้เกลือขาวๆ เกิดขึ้น ให้เดินเข้าบ้านไปต้มน้ำร้อนให้เดือดๆ พร้อมกับหาแปรงสีฟันเก่าๆ มาสักอันนึง พอน้ำเดือดแล้วก็หิ้วกาต้มน้ำร้อนออกมานำไปราดลงบนขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว ราดทีล่ะขั้วพร้อมกับใช้แปรงสีฟันขัดๆ ถูๆ ให้คราบขี้เกลือขาวๆ หลุดออกไปให้หมด จากนั่นหาผ้าสักผืนมาซับน้ำ และเช็ดให้แห้ง(ในกรณีแบตเตอรี่อยู่ท้ายรถ)

ทำแบบนี้เสร็จจะเห็นขั้วแบตสะอาดสีของขั้วแบต และสายไฟเปลี่ยนไปนิดหน่อย(กระแสไฟเดินได้สะดวกกว่าเดิม) ถ้าที่บ้านมีสเปย์อเนกประสงค์หรือมีจาระบี ก็นำมาฉีดหรือทาทีขั้วแบตทั้ง 2 ขั้ว ก็จะช่วยลดการเกิดคราบขี้เกลือที่ขั้วแบตได้พักใหญ่

 

อ่ะ..ต่อมา เรื่องของพวกน้ำๆ ต่างๆ เริ่มกันที่ น้ำฉีดล้างกระจก รถสมัยใหม่ฝาของอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่ให้เจ้าของรถตรวจเช็ค หรือเซอร์วิสเอง มักจะทำสีให้เห็นเด่นชัดเช่น สีเหลือง, สีน้ำเงิน เป็นต้น น้ำฉีดกระจกรถบางรุ่นจะใช้ร่วมกันระหว่างฉีดล้างกระจกบังลมหน้า และกระจกบังลมบานหลัง(บางรุ่น บางยี่ห้อ จะแยกกระปุก) อันนี้ดูง่ายๆ ด้วยสายตา เปิดฝาขึ้นมาถ้าระดับน้ำยุบลงไป ก็ไปหยิบขวดน้ำมาเติมให้เต็ม(จะใช้น้ำสะอาดผสมน้ำยาล้างกระจกก็ได้ไม่ผิดกติกา) ส่วนพวกที่แยกกระปุกก็เดินไปเปิดท้ายรถ รื้อๆ แผงข้าง(มันจะชอบซุกๆ แถวๆ นั่น) อันนี้เวลาดูระดับกับเติมจะยากนิดนึง แต่ก็ทำได้สบายๆ

 


 

น้ำหล่อเย็นของระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ โดยส่วนใหญ่ รถใหม่จากโรงงาน หรือซื้อรถมือ 2 ที่เจ้าของเก่าดูแลมาดีมากๆ มันจะเติมน้ำยาคูลแลนซ์มาให้ ทำให้เห็นระดับของน้ำในถังพักได้ชัดเจน ซึ่งตรงกระป๋องพักน้ำจะมีระดับบอก Max กับ Min ถ้าระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์สมบูรณ์ ระดับน้ำต้องอยู่ในระดับ Max หรือลดลงมานิดหน่อย แต่ถ้าลดลงมาเกือบกึ่งกลางระหว่าง Max กับ Min ถ้าที่บ้านไม่มีน้ำยาคูลแลนซ์ ก็ไปหยิบน้ำดื่มหรือน้ำที่ผ่านเครื่องกรอง(ห้ามใช้น้ำประปาเด็ดขาด) มาเติมให้ถึงระดับ Max ก็พอ และหลังจากนั่นเวลาใช้รถในทุกๆ วัน(ประมาณ 1 อาทิตย์) ก่อนจะสตาร์ทเครื่องออกไปออฟฟิท หรือไปซื้อของก็เปิดฝากระโปรงเช็คดูสักนิดว่าระดับน้ำยุบลงอีกไหม ถ้ายุบลงอีก ก็ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็ค แต่ถ้าไม่ยุบลงก็ใช้งานต่อไปแบบสบายๆ

ต่อจากการตรวจเช็คระดับน้ำหล่อเย็น ถ้ามีเวลา และกล้าที่จะก้มลงสอดส่องดูรอบๆ ตัวเครื่อง ก็แค่ไปหยิบไฟฉายมาเปิดส่องดูตามซอก ตามมุม ของเครื่องยนต์ดูบ้างว่ามีคราบน้ำหยดตรงไหนบ้างไหม(รถที่เติมคูลแลนซ์ตัวน้ำยาจะเป็นสีชมพู, เขียว, แดง หรือน้ำเงิน) เราจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนถ้ามีการรั่วซึม รวมถึงดูว่ามีคราบของน้ำมันหยดตรงไหนบ้างรึเปล่า เพื่อความสบายใจในการใช้งาน ถ้าไม่มีการรั่วซึมก็โอเค แต่ถ้ามีก็ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็ค

 


ระดับน้ำมันของพวงมาลัยเพาเวอร์(รถบางรุ่นเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าจะไม่มีกระปุกน้ำมันเพาเวอร์) กระปุกน้ำมันเพาเวอร์ของพวงมาลัยก็จะมีระดับของน้ำมันให้เราดู ถ้าต่ำลงกว่าขีด Max ก็ไปหาซื้อ น้ำมันเกียร์อัตโนมัติมาเติมให้พอดีในระดับ Max ก็เป็นอันจบ

 

 

ระดับน้ำมันเครื่อง จะมีก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องอยู่(แนะนำให้วัดตอนยังไม่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์หรือเครื่องเย็นๆ) ชักก้านขึ้นมาครั้งแรก ให้หาผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชู มาเช็คคราบน้ำมันเครื่องที่ติดบริเวณก้านวัดออกให้สะอาด แล้วเสียบกลับเข้าไป นับ 1-10 ชักขึ้นมา แล้วดูว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับไหน Max หรือ Min ถ้าต่ำกว่า Max ก็ไปหาซื้อน้ำมันเครื่อง(เปิดดูใน Manual Book ว่าใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร เช่น 5W-30, 5 หรือ 10W-40) จะยี่ห้ออะไรก็ได้ มาเติมให้อยู่ในระดับ Max เท่านี้ก็จบ

ส่วนกรณีถ้าขยันเห็นห้องเครื่องสกปรกมากๆ อยากล้างห้องเครื่อง ถ้าไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไก แนะนำว่าให้หาถังน้ำมาผสมน้ำยาล้างรถนิดๆ เอาผ้าสะอาดจุ่ม แล้วบิดหมาดๆ ค่อยๆ เช็ดถูไปทีล่ะส่วน เช็คให้เรียบร้อย แล้วก็เอาผ้าสะอาดอีกผืนชุบน้ำสะอาดบิดหมาดๆ เช็ดคราบน้ำยาออกให้สะอาดแล้วปล่อยให้แห้ง ถ้าอยากเงาๆ ก็หาน้ำยาเคลือบเงา แนะนำมาสเปย์มาฉีดทีล่ะส่วน(ฉีดบางๆ) แล้วใช้ฟองน้ำค่อยๆ ลูบให้ทั่วจนเงามาก แค่ล้างห้องเครื่องก็เรียกเหงื่อได้ดีไม่น้อยเลยล่ะครับ

เรื่องของการเปิดกระโปรงรถเพื่อตรวจเช็คก็ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ถ้ามีเวลา และค่อยๆ ศึกษากันไป ถ้ามี Manual Book ก็จะช่วยคุณได้ไม่น้อย รถยนต์ถ้าเจ้าของรถยอมสละเวลามาดูแลตรวจเช็คด้วยตัวเองบ้าง จะช่วยให้เรารู้ว่าอันนี้คือ อะไร อันนั่นทำหน้าที่อะไร เพียงเท่านี้ เราๆ ท่านๆ ก็จะมีความรู้เรื่องรถยนต์มากขึ้น จบแล้วครับ 3 ตอนสำหรับการดูแลรถยนต์ด้วยตนเองช่วงโควิด 19 หลายท่านอาจจะได้แนวทางหรือความรู้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ ขอให้ใช้รถยนต์อย่างมีความสุข และปลอดภัยในทุกการเดินทางครับ   

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้