รู้เท่าทันโควิด กรณี "ฉีดวัคซีนหลายเข็ม ทำไมติดเชื้อซ้ำซาก" โดย ศาสตราจารย์ ดร.ธีระศักดิ์ พัชรวิภาส อาจารย์ประจำคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต

836 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ศาสตราจารย์ ดร.ธีระศักดิ์ พัชรวิภาส  อาจารย์ประจำคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต

1.ทำไมแต่ละคนที่ตรวจพบเชื้อโควิดจึงมีอาการแตกต่างกัน และส่วนใหญ่ไม่มีอาการทั้งๆ ที่เป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์เดียวกัน

เพื่อให้กระชับขอให้ดูจากตารางที่นำเสนอ ซึ่งแบ่งเราแต่ละคนเป็น 4 กลุ่มจากความหลากหลายทาง “พันธุกรรมต่อการติดเชื้อ” และ ”พันธุกรรมทางภูมิคุ้มกัน” โดยจากการประเมินข้อมูลน่าจะมีสัดส่วนของแต่ละกลุ่มดังแสดง

จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่า การที่เชื้อไวรัสโควิด-19 จะเข้าไปสู่เซลล์เป้าหมายได้ ต้องมีการจับเกาะแทรกเข้าไปภายในเซลล์ที่จำเพาะและเหมาะสม จึงจะเพิ่มจำนวนได้โดยมีปอดเป็นอวัยวะเป้าหมายหลัก จากการศึกษาวิจัยเป็นที่ทราบกันว่าสารชีวภาพบนผิวเซลล์ที่เชื้อไวรัสใช้จับเกาะมีความหลากหลายแตกต่างกันตามพันธุกรรมของแต่ละคน ดังนั้น เมื่อคนหรือสัตว์ที่รับเชื้อไวรัสโควิด ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นผู้ที่มีการติดเชื้อจริงๆ เสมอไป ขณะเดียวกันเมื่อร่างกายได้รับเชื้อใดๆ (แม้ไม่ติดเชื้อจริง) จะมีการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้หรือไม่ จำเป็นต้องมี “พันธุกรรมทางภูมิคุ้มกัน” มาเกี่ยวข้องด้วย โดย “ทีเซลล์นักฆ่า” ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างเบ็ดเสร็จในการกำจัดเซลล์ติดเชื้อไวรัส จะสร้างขึ้นมาได้จำเป็นต้องมีสารพันธุกรรมทางภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม จากตารางข้อมูลคนกลุ่มที่ 2 ที่มีโอกาสสูงในการติดเชื้อจริง อธิบายได้ว่าพันธุกรรมทางภูมิคุ้มกันของคนกลุ่มนี้ไม่สามารถสร้าง “ทีเซลล์นักฆ่า” จึงส่งผลให้เสียชีวิต (เนื่องจากยังไม่มียาที่รักษาได้อย่างแท้จริง)  ส่วนผู้ติดเชื้อจริงที่มีพันธุกรรมทางภูมิคุ้มกันสามารถสร้าง “ทีเซลล์นักฆ่า” ได้อย่างในกลุ่มที่ 1 จะหายป่วยได้ภายในเวลา 2-3 สัปดาห์

2. ทำไมฉีดวัคซีนหลายเข็มหลายยี่ห้อ  แล้วยังติดเชื้อ

ต้องทำความเข้าใจว่าอาการป่วยต่างๆ ของคนที่ตรวจพบโควิดไม่ได้เกิดจากเชื้อโดยตรงแต่เกิดจากการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในรูปแบบหนึ่งให้สร้างสารชนิดต่างๆ ที่เรียกรวมๆ ว่าไซโตไคน์ เพื่อต่อต้านแต่กลับไม่มีประสิทธิภาพมากพอในการกำจัดเชื้อโควิด แต่ขณะเดียวกันก็ทำความเสียหายต่ออวัยวะนั้นๆ เสียอีก จนทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะล้มเหลวโดยเฉพาะปอดซึ่งเป็นอวัยวะเป้าหมายหลัก การที่คนในกลุ่มที่ 3 ไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย อธิบายได้ว่าเนื่องจากคนกลุ่มนี้ ส่วนสไปท์ของโควิดไม่สามารถเข้าจับเกาะจับกับผิวเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนจึงทำให้มีปริมาณเชื้อที่จำกัดในการกระตุ้นการสร้างสารไซโตไคน์จึงทำให้มีอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัดขณะที่คนที่ติดเชื้อโควิดจริงในกลุ่มที่ 1 และ 2 จะมีการเพิ่มจำนวนของเชื้ออย่างมากมายตลอดเวลาและกระตุ้นให้สร้างสารไซโตไคน์ขึ้นมาอย่างมหาศาลที่เรียกว่า Cytokine storm จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการรุนแรง 

เพราะฉะนั้น การที่ฉีดวัคซีนหลายๆ เข็มและยังติดเชื้ออีก แยกได้เป็น 2 กรณี คือ คนเหล่านี้อยู่ในกลุ่มที่ 3 ที่ไม่เคยติดเชื้อจริง และกลุ่มที่ 1 ที่ได้รับวัคซีนแล้วและมีการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันจดจำ ทำให้เมื่อได้รับเชื้อก็ไม่มีการติดเชื้อจริง อีกกรณีหนึ่งที่เป็นกลุ่มคนที่พันธุกรรมทางภูมิคุ้มกันไม่เหมาะกับการสร้างเซลล์จดจำที่จะสร้างแอนติบอดีแบบถาวร เพื่อป้องกันการติดเชื้อได้แม้จะรับวัคซีนแล้วก็ตาม จึงทำให้ติดเชื้อจริง

สรุปคือการติดเชื้อที่ระบาดกันอย่างมากมายขณะนี้แต่ความรุนแรงกลับมีอาการน้อย เนื่องจากการไม่ติดเชื้อจริง ต้องแยกระหว่าง “ผู้ติดเชื้อจริง” ออกจาก “ผู้ที่ได้รับเชื้อ (ไม่มีการติดเชื้อจริง)”

3. ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาเชื้อโควิด ซึ่งต้องนำเข้าและมีราคาสูงมาก แต่ยังมีผู้ป่วยเสียชีวิตในอัตราส่วนค่อนข้างคงที่

การศึกษาประสิทธิผลที่แท้จริงของยาควรต้องเลือกศึกษากับผู้ที่ติดเชื้อจริง ซึ่งมีประมาณ 0.2-2% ของผู้รับเชื้อ ไม่ใช่เหมารวมเอาทุกคนที่ตรวจพบเชื้อมาศึกษาและทำให้ประเมินประสิทธิผลของยาผิดเพี้ยน ควรต้องศึกษาโดยใช้ยานั้นๆกับคนกลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นคน “กลุ่มที่ติดเชื้อจริงและไม่สามารถสร้าง “ทีเซลล์นักฆ่า”  ได้ จึงจะประเมินประสิทธิผลของยาได้อย่างแท้จริง”


4. ปัญหาการจัดการทางสาธารณสุขที่ควรปรับปรุง

“เป็นปกติที่เชื้อไวรัสมีการกลายของรหัสพันธุกรรมตลอดเวลา เชื้อไวรัสไม่สามารถคิดเองได้ การกลายพันธุ์ของเขาเป็นไปด้วยกลไกทางธรรมชาติแบบลองผิดลองถูก เมื่อมีการกลายของรหัสพันธุกรรมเป็นตัวไหนที่ปรับตัวได้ดีขี้นสามารถคงทนอยู่ได้นานในสภาวะแวดล้อมก็ทำให้อัตราการแพร่ระบาดมากกว่าเหนือตัวเดิม ไม่จำเป็นว่าทำให้เกิดอาการรุนแรงขึ้นหากไม่ได้มีการกลายพันธุ์ในจุดสำคัญอย่างเช่น เปลี่ยนไปจับกับสารชีวภาพบนผิวเซลล์ชนิดอื่นๆ ด้วย  ขณะนี้สาธารณสุขเน้นไปที่การกลายพันธุ์ของเชื้อที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลายและมีความวิตกทุกครั้งที่พบเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีผลต่อพยาธิสภาพแต่อย่างใด การทบทวนองค์ความรู้เพื่อปรับเปลี่ยนความเข้าใจกลไกการติดเชื้อไวรัสและการระบาดจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการทางสาธารณสุขได้ต่อไปรวมทั้งเชื้อไวรัสที่จะมีการระบาดขึ้นมาใหม่ได้อีกในอนาคต

ในกรณีโควิด-19 การฉีดวัคซีนจะทำให้ลดโอกาสการติดเชื้อจริงของประชากรจากประมาณ 70% เป็น 99% การฉีดวัคซีนควรดำเนินการ ตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้ามีการตรวจระดับ IgG โดยเฉพาะ IgA ต่อส่วนสไปท์ของเชื้อโควิดอย่างเป็นแพคเกจ ก็จะเป็นการระบุได้อย่างอ้อมๆ ว่าคนเหล่านั้นมีการสร้างเซลล์จดจำเพื่อสร้างภูมิป้องกันได้อย่างถาวรหรือไม่และช่วยลดงบประมาณได้มากกว่า 70% จากการนำเข้าวัคซีน ทั้งยังไม่นำเข้ายาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาอย่างแท้จริงเข้าประเทศอย่างมหาศาล

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้