84 จำนวนผู้เข้าชม |
การขับนักการทูตออกนอกประเทศ ถือเป็นเครื่องมือทางการทูตที่สำคัญอย่างหนึ่งในการสะท้อนให้เห็นระดับความสัมพันธ์ของรัฐ (แต่ไม่ใช่การตัดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะถือเป็นอีกกรณีหนึ่ง ไม่ใช่รูปแบบเดียวกัน อย่าเข้าใจสับสนระหว่างกัน) ที่แสดงความไม่พึงพอใจของรัฐผู้รับในประเด็นต่างๆ (แต่ก็ถือเป็นระดับร้ายแรงพอสมควร ถึงจะดำเนินการในลักษณะนี้ เช่นนอร์เวย์ประกาศขับทูตรัสเซียออกนอกประเทศ ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นสายลับเมื่อปี 2566 แต่ทว่าปัจจุบันก็มีการแต่งตั้งเอกอัครทูตรัสเซียที่นอรเวย์เช่นเดิม (ซึ่งเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นรูปแบบที่ไม่ใช่การตัดขาดความสัมพันธ์) ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปตามหลักอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ.1961 (Geneva Convention on Diplomatic Relations 1961) มาตราที่ 9 ว่าด้วยเรื่องของ PERSONAL NON GRATA (บุคคลผู้ไม่พึงประสงค์) และ 43 ความว่า
Article 9
1. The receiving State may at any time and without having to explain its decision, notify the sending State that the head of the mission or any member of the diplomatic staff of the mission is persona non grata or that any other member of the staff of the mission is not acceptable. In any such case, the sending State shall, as appropriate, either recall the person concerned or terminate his functions with the mission. A person may be declared non grata or not acceptable before arriving in the territory of the receiving State.
2. If the sending State refuses or fails within a reasonable period to carry out its obligations under paragraph 1 of this article, the receiving State may refuse to recognize the person concerned as a member of the mission.
แปลไทยได้ว่า (ตามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
1. รัฐผู้รับอาจบอกกล่าวแก่รัฐผู้ส่งในเวลาใดก็ได้ และโดยมิต้องชี้แจงถึงการวินิจฉัยของตนว่า หัวหน้าคณะผู้แทนหรือบุคคลใดในคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายทูตของคณะผู้แทนเป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา หรือว่าบุคคลอื่นใดในคณะเจ้าหน้าที่ของคณะผู้แทนเป็นที่ไม่พึงยอมรับได้ ในกรณีใดเช่นว่า นี้ ให้รัฐผู้ส่งเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นกลับ หรือเลิกการหน้าที่ของผู้นั้นกับคณะผู้แทนเสียก็ได้ตามที่เหมาะสม บุคคลอาจจะถูกประกาศให้เป็นผู้ไม่พึงปรารถนา หรือไม่พึงยอมรับได้ ก่อนที่จะมาถึงในอาณาเขตของรัฐผู้รับก็ได้
2. ถ้ารัฐผู้ส่งปฏิเสธ หรือไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันของตนภายใต้วรรค 1 ของข้อนี้ ภายในระยะเวลาอันสมควร รัฐผู้รับอาจปฏิเสธที่จะยอมรับนับถือบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นว่าเป็นบุคคลในคณะผู้แทนก็ได้
ย่อยให้ง่ายขึ้นเพิ่มเติม ก็คือ อนุสัญญานี้ได้เปิดช่องให้รัฐผู้รับสามารถประกาศ Persona Non Grata (บุคคลที่ไม่พึงปรารถนา) แก่รัฐผู้ส่งเมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องแจ้งเหตุผลก็ได้ (จริงๆ ไม่ใช่แค่ใช้เครื่องมือนี้กัานักการทูตอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับบุคคลธรรมดาได้ด้วย) … กล่าวคือในแง่หลักการ เราจะไม่ใช้คำว่า “เนรเทศ (deport)” หรือ “ขับไล่ (expel)” นักการทูตออกจากประเทศ เพราะจะเป็นอีกคนละกรณีกัน (การใช้ “คำ (terminology)” เป็นบริบทสำคัญอย่างมากในทางการทูต ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ซึ่งจากข้างต้น จะเห็นได้ว่าการประกาศบุคคลไม่พึงประสงค์ (Personal Non Grata) นี้ จึงเป็นเครื่องมือในการดำเนินกการทางการทูตระหว่างกัน (โดยอาศัยหลักการไม่ใช้ความรุนแรง) เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงสัญญะ (ทั้งระหว่างรัฐผู้รับและผู้ส่งที่ขัดแย้งกัน และประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลก) ว่า ระดับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ขัดแย้งนั้น มีความขัดแย้งในระดับที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ตามหลักการนี้ ในกรณีไทยประกาศให้เอกอัครราชทูตกัมพูชากลับประเทศ (ประกาศ Personal Non Grata) จึงเป็นไปตามลักษณะมาตรา 9 นี้ (แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องตามดูประกาศอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศอีกครั้งถึงคำที่ถูกใช้) เพื่อแสดงความไม่พึ่งพอใจในระดับที่สูงขึ้นของไทย ต่อกรณีที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนเป็นเหตุให้ขาขาด เป็นรายที่ 2 (โดยปกติ จะเริ่มต้นจากการทำหนังสือประท้วง และเรียกให้นักการทูตรัฐผู้ส่งเข้ามาชี้แจง) … แต่หากถามว่าในอนาคตทั้ง 2 ประเทศจะกลับมาส่งนักการทูตประจำการระหว่างกันได้อีกไหม ก็ยังสามารถทำได้โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการเจรจา แต่หากถามว่าตอนนี้ไทยกับกัมพูชาตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างกันเลยหรือไม่ ยังไม่ใช่การตัดความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพียงแต่เป็นการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงเท่านั้น ซึ่งก็ต้องตามติดท่าทีกันต่อไป ซึ่งล่าสุดทางฝ่ายกัมพูชาก็ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ลงโดยการขับนักการทูตของไทยออกนอกประเทศในลักษณะเดียวกัน แม้ว่าฝ่ลยไทยจะดำเนินการเรียกทูตกลับประเทศมาก่อนหน้านี้แล้ว (ซึ่งการเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับรัฐผู้ส่ง ถือเป็นเครื่องมือทางการทูตอีกอันหนึ่งเช่นกัน แต่ต้องแยกกรณี)
เหตุการณ์ต่อจากนี้ ก็คงต้องพิจารณาต่อว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะดำเนินการอย่างไรกันต่อ อาจเป็นในรูปแบบ Bilateralism (ทวิภาคี) (ไทยอยากจะใช้แนวทางนี้มาเสมอผ่าน JBC) หรือรูปแบบพหุภาคี (Multilateralism) (กัมพูชาพยายามจะใช้ทางนี้ผ่านศาลโลก ผ่าน UN เป็นต้น) หรือผ่านคนกลาง (Arbitration) ซึ่งก็อาจเป็นมาเลเซียผ่านการประธานอาเซียน (แต่ก็ดูท่าจะยาก เพราะอดีตนายกทักษิณเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ทำให้กัมพูชาคงไม่สนิทใจ) หรือก็อาจจะจีน (แต่จีนจะอยากเข้ามาในวงขัดแย้งนี้ไหม คิดว่าไม่ น่าจะปล่อยให้จัดการกันเอง) หรือจะฝรั่งเศส (ซึ่งไทยก็คงไม่ยอม เพราะเป็นเจ้าอาณานิคมกันมาก่อน แถมมีส่วนช่วยให้ชนะคดีเขาพระวิหาร)
ทั้งนี้ เหตุการณ์เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะเริ่มมีการปะทะระหว่างทหารของ 2 ฝ่ายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ขยายจากด้านการทูตไปด้านการทหารมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเครื่องมือทางการทูตก็ยังคงสำคัญเสมอ เพราะเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกพยายามประคับประคองไม่ให้เกิดภาวะสงคราม ซึ่งไทยเองพยายามใช้การทูตนำอยู่เสมอ (จนหลายฝ่ายอาจมองว่าเชื่องช้า ซึ่งก็อาจจะจริงในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายใช้การเมืองนำ ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำได้สูงกว่า จึงควรต้องปรับนโยบายให้แม่นยำ ใช้การทูตนำ แต่ก็ต้องรวดเร็ว และสื่อสารในหลายมิติมากขึ้น)
ตามอ่านสนธิสัญญาได้
<ภาษาอังกฤษ> https://legal.un.org/ilc/texts/instruments/english/conventions/9_1_1961.pdf
<ภาษาไทย แปลโดย สนง.คก.กฤษฎีกา> https://image.mfa.go.th/mfa/0/phQBrXL4xr/
เรียบเรียงบทควาโดย : อาจารย์ฐานุวัชร์ รินนานนท์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา
คณะการทูตและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต