1209 จำนวนผู้เข้าชม |
เกรท วอลล์ มอเตอร์ หลังจากมีการปรับทัพองค์กรภายในใหม่ โดยนำมือดี มือเก๋าเกมจากค่ายยักษ์ใหญ่เข้ามากุมบังเหียน และกำหนดทิศทางภาพรวมของรถในค่ายทั้งหมด ยังไม่นับรวมรถรุ่นใหม่ๆ ที่เตรียมทยอยออกมาสู่ท้องถนนเมืองไทยภายในปีนี้อีกอย่างน้อย 2-3 รุ่น และเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายในกลุ่มของ B-SUV ทางค่ายเลยจับ Hawal Jolion มาปรับโฉม และกระชับรุ่นจำหน่ายในปี 2023 โดยเพิ่มเติมรุ่น Jolion Sport เพื่อตอรับความต้องการของคนที่มีหัวใจสปอร์ตมากยิ่งขึ้น
ไลน์อัพของ Jolion ที่ปรับใหม่ในครั้งนี้ จากแรกเริ่มเดิมที่เคยมีจำหน่ายอยู่ 3 รุ่น ประกอบด้วย Tech, Pro และ Ultra ในปัจจุบันได้ปรับใหม่เหลือเพียง 2 รุ่นคือ Sport และ Ultra โดย Sport เป็นการนำรถรุ่น Tech มาปรับลุคใหม่ให้ดูโฉมเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดไฟหน้าเปิด-ปิด อัตโนมัติ ดีไซน์ใหม่ Triple Project Lens พร้อมชุด Daytime Running Light ใหม่แบบ LED กระจังหน้าออกแบบใหม่ Black Symmetic ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับดีไซน์ของกันชนหน้าที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด หลังคาไม่มี Panoramic Roof แต่มี Roof Rack แบบสปอร์ตมาใหม่ เช่นเดียวกับทางด้านท้ายมีการดีไซน์ชุดกันชนหลังใหม่เน้นความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ฝาท้ายเปิด-ปิดแบบอัตโนมือ ทางด้านบนมีสปอยเลอร์ท้ายทรงใหม่ ตัวรถมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 4 สี เท่านั้น ประกอบด้วย สีดำ Sun Black, สีเทา Ayers Gray, สีขาว Hamilton White และสีแดง Burgundy Red
ภายในห้องโดยสารมีการปรับเปลี่ยนโทนสีจากเดิมซึ่งเป็นสีเบจเน้นความหรูหรา ทำให้ภายในห้องโดยสารดูโปร่งตา เปลี่ยนมาเป็นโทนสีดำ ประดับด้วยวัสดุตกแต่งสีเงิน พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พิมพ์นิยมของ Hawal พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่นที่พวงมาลัย และปุ่มของระบบ Cruise Control พวงมาลัยปรับได้แค่ 2 ทิศทางเท่านั่น!!(เพื่อนๆ เขา 4 ทิศทางกันหมดแล้ว)
มาตรวัดเรือนไมล์ พร้อมจอแสดงผลการขับขี่ MID ขนาด 7 นิ้ว มองเห็นได้อย่างชัดเจน จอกลางมัลติฟังก์ชั่นแบบทัชสกรีน ขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play และ Android Auto พร้อมปุ่มกดสำหรับระบบปรับอากาศในบางฟังก์ชั่น และเปิด-ปิด เครื่องเสียง เรื่องของหน้าจอกลางที่รวบรวมไว้ทั้งระบบการทำงานต่างๆ ของตัวรถ เครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ(เรื่องของทิศทางลม และอุณหภูมิแบบ Dual Zone) เชื่อมต่อระบบ WiFi, เชื่อมต่อ Bluetooth, ระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Command และอัพเดทระบบผ่านออนไลน์ FOTA ตัวไอคอนของระบบการทำงานต่างๆ บนหน้าจอค่อนข้างเล็ก ทำให้ผู้ขับขี่จำเป็นต้องละสายตาจากถนน เพื่อมองว่านิ้วมือที่สัมผัสบนหน้าจอนั่น จิ้มฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ได้ถูกต้องหรือไม่ การทำงานของระบบทัชสกรีนถือว่าเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันยังถือว่าช้าไปสักนิด
ช่องแอร์คู่กลางวางตำแหน่งไว้ต่ำไปหน่อย ถ้าอยากให้ลมแอร์เป่าหน้าต้องเปิดพัดลมให้แรงพอควร ถัดลงมาคอนโซลกลางจะเป็นแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย ใกล้ๆ กันเป็น ปุ่มหมุนสีเงินสำหรับระบบขับเคลื่อน การทำงานเปลี่ยนตำแหน่งจาก N ไป D หรือ D ไป N ไป R ทำได้เร็วขึ้นกว่ารุ่นแรก แต่ก็ยังไม่รวดเร็วเท่าคันเกียร์แบบคันเลื่อนหรือปุ่มกดอยู่ดี ถัดมาอีกนิดเป็นที่วางแก้ว และเท้าแขนแบบ 2 ชั้น ด้านล่างซ่อนกล่องเก็บของขนาดใหญ่ มีปุ่มเบรคมือไฟฟ้า และปุ่ม Auto Hold Brake วางอยู่คู่กัน ด้านหลังมีช่องแอร์ให้ 2 ช่อง พร้อมจุดชาร์จมือถือแบบ USB ให้อีก 2 ช่อง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
เบาะผู้ขับขี่ให้มาเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ตัวเบาะมีขนาดใหญ่นั่งสบาย ขอติตรงส่วนรองนั่งวางตำแหน่งด้านหน้าลาดลงไปนิด ถ้าสามารถกระดกส่วนรองนั่งด้านหน้าได้ก็จะทำให้ตำแหน่งขับขี่ดีขึ้นกว่านี้อีกพอสมควร เบาะผู้โดยสารตอนหน้าแบบปรับอัตโนมือเท่านั่น เบาะโดยสารตอนหลังขนาดใหญ่นั่งสบายสามารถพับแยก 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังได้ แต่!! ไม่มีเท้าแขนด้านหลังมาให้นะ
ทัศนวิสัยในการขับขี่ทางด้านหน้าถือว่าค่อนข้างดี เพราะกระจกบานหน้าขนาดใหญ่ แต่มาติดตรงที่เสา A-Pillar บังสายตาอยู่พอควรเวลาที่เลี้ยวออกจากซอยแคบๆ อยู่เล็งตำแหน่งของสายตาเพื่อหาปลายทางของโค้งในขณะขับขี่เดินทางไกล เช่นเดียวกับเสาทางด้านหลังที่มีขนาดค่อนข้างหนา ทำให้เกิดมุมบอดในขณะเอี้ยวตัวไปเวลาถอยหลัง(ถ้าไม่ชินกล้องมองหลัง..ควรฝึกมองให้ชิน) พื้นที่ภายในห้องโดยสารค่อนข้างกว้างขวางนั่งสบาย แต่เรื่องการเก็บเสียงยังคงเดิมคือ เสียงของยางที่บดพื้นถนนยังคงเล็ดลอดเข้าสู่ห้องโดยสารแบบชัดเจน(อยากให้เงียบต้องไปแดมป์แผ่นเก็บเสียงเพิ่ม)
ด้านพละกำลังของ Jolion Sport ยังคงเป็นการจับคู่กันระหว่างเครื่องยนต์ความจุ 1.5 ลิตร แถวเรียง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้า 95 ตัวที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 125 นิวตัน-ม. ที่ 4,400-5,200 รอบต่อนาที ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 156 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตัน-ม. พกพาแบตเตอรี่แบบ Lithilum-ion เมื่อทั้ง 2ทำงานพร้อมกันจะให้แรงม้าสูงถึง 190 แรงม้า แรงบิด 375 นิวตัน-ม. ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ DHT ที่ออกแบบมาสำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20
จริงๆ แล้วเราเคยได้ทดลองขับ Jolion ตอนเปิดตัวใหม่ๆ เมื่อสัก 2 ปีที่แล้ว โดยใช้เส้นทางกรุงเทพ-บางแสน ซึ่งความรู้สึกที่ได้สัมผัส Jolion Sport ครั้งนี้ ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อัตราเร่งช่วงต้นทันอกทันใจดีไม่น้อย(แต่ไม่ได้มาแบบดึงหลังติดเบาะเหมือนพวกรถ EV) ช่วงความเร็วระดับการเดินทาง 120 กม./ชม. แล้วต้องการเร่งแซง อัตราเร่งถือว่าทำได้แบบเกือบจะทันอกทันใจ(คันเร่งดีเลย์นิดๆ) ในโหมด Normal แต่ถ้าเปิดโหมด Sport อัตราเร่งจะมาแบบติดเท้ากันขับสนุกขึ้น ส่วนในโหมด Eco และ Snow ก็ไปแบบเรื่อยๆ สบายๆ
ระบบกันสะเทือนยังคงเดิมไม่มีการปรับแต่งใดๆ ทางด้านหน้าแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ทางด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม การเซ็ทติ้งมานั่นสำหรับการขับขี่ใช้งานในเมืองถือว่ากำลังพอดีไม่นิ่ม ไม่แข็งจนเกินไป แต่พอวิ่งด้วยความเร็วสูงอาจมียวบยาบนิดๆ แต่ไม่ถึงกับต้องใช้ฝีมือหรือเกร็งข้อมือจนเหงื่อซึม เล่นในโค้งได้แต่อย่าหนักข้อ เพราะน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ด้านหน้าค่อนข้างเยอะ พอหน้ายุบปุ๊บอาการหน้าดื้อโค้งจะเริ่มมา และพอท้ายยกมากๆ ท้ายรถจะเหวี่ยงแถมตามไปด้วย แต่ถ้ารู้จังหวะถือว่าเป็นรถที่ขับเข้าโค้งได้ดีพอตัว
อัตราทดพวงมาลัยจัดว่ากลางๆ ไปตามใจสั่งได้ในระดับนึง แต่มีข้อดีคือ สามารถปรับน้ำหนักของพวงมาลัยได้ถึง 3 ระดับเลยทีเดียว ระบบเบรคเป็นดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ ล้อแม็กเลือกใช้ขอบ 18 นิ้ว มาพร้อมกับสีดำเงาเน้นความดุดัน
ระบบความปลอดภัยของ Jolion Sport ต้องบอกใครที่คาดฝันว่าจะได้มาแบบเต็มข้อ ต้องของแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เพราะทาง Hawal ตัดตัวระบบ ADAS ออกเกลี้ยงเลย เหลือเพียงระบบพื้นฐานอาทิ ระบบเบรก ABS, EBD, BA, ระบบควบคุมการทรงตัว VSS, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCM, ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 SCM ระบบลดความเสี่ยงที่จะพลิกคว่ำ ARS, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบช่วงลงทางลาดชัน HAS, ระบบช่วยลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก BOS, ระบบถุงลมนิรภัยทางด้านหน้า 4 ตำแหน่ง ฯลฯ อื่นๆ
ระบบความปลอดภัยที่ยังมีมาให้ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานจริงๆ ที่รถยนต์สมัยใหม่ควรจะมี และด้วยราคาของ Hawal Jolion Sport เคาะเปิดตัวเพียงแค่ 7.99 แสนบาท มาพร้อมกับ Warranty ตัวรถนานถึง 7 ปี หรือ 190,000 กม. รับประกันแบตเตอรี่ของระบบไฮบริดนานถึง 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง แพ็คเกจบำรุงรักษาตัวรถนาน 5 ปี หรือ 100,000 กม. และบริการฉุกเฉิน นาน 5 ปี หรือ 150,000 กม.
สุดท้ายนี้ก็อยากให้ทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ รีบสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าของตนเองในเรื่องของการเซอร์วิส และระบบอะไหล่ ที่ลูกค้ารอค่อนข้างนาน การแก้ไขปัญหาตัวรถค่อนข้างล่าช้า หากแก้ไขปัญหา 2 เรื่องหลักๆ นี้ได้ เกรท์ วอลล์ ก็สามารถนำพารถในค่ายขึ้นมากวาดยอดจำหน่ายได้สูสีกับคู่แข่งจากชาติเดียวกันได้อย่างแน่นอน