GWM Poer Sahar Diesel แก้เกมมาใหม่..หวังส่วนแบ่งการตลาดรถกระบะบ้านเรา

133 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หลังจากค่าย GWM (Thailand) เคยนำรถกระบะ Poer Sahar HEV เข้ามาหยั่งเชิงเรียกกระแสในบ้านเรา แต่กลับแทบจะไม่ได้ยินเสียงตอบรับเท่าใดนัก เพราะตลาดรถกระบะในเมืองไทยขึ้นชื่อว่า “ปราบเซียน” ยิ่งนัก ต่อให้ดีไซน์ต้องตา มิติตัวรถต้องใจ แต่ด้วยชื่อเสียง การเลือกใช้เครื่องยนต์เบ็นซิน และมอเตอร์ไฟฟ้าจับคู่กัน เรื่องความทนทาน ความมั่นใจในการใช้งานอาจจะยังไม่ตรงจริตคนไทย ส่งผลให้ไม่เกิดกระแสจนเข้าสู่สังเวียนการขายแบบจริงๆ จังๆ ของ Pore Sahar HEV เลยไม่ได้เกิด



แต่ด้วยความคาดหวังของ GWM ที่ต้องการเปิดเกมรถกระบะเชิงพาณิชย์ในการบ้านเราให้ได้จริงๆ ประจวบเหมาะกับทาง GWM ได้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลออกมาสำหรับรถตรวจการณ์ TANK 300&500 ออกมาจำหน่ายแล้ว การนำเครื่องยนต์บล็อกนี้มาใส่ใน Poer Sahar จึงกำเนิดขึ้น และเราก็ได้มีโอกาสได้ลองขับเจ้า Poer Sahar Diesel เลยนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน

 

GWM กำลังยกระดับไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า พรีเมี่ยมมากกว่า และมิติรถที่ใหญ่กว่า โดยการชูจุดเด่น 4 ด้านที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถกระบะเมืองไทย อาทิ 1.สมรรถนะสูงที่ควบคู่มากับอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ 2.ความสามารถในการขับขี่พร้อมลุยในทุกไลฟ์สไตล์ 3.ความพรีเมี่ยม ความสะดวกสบายที่เหนือกว่ารถกระบะในเซ็กเม้นท์เดียวกัน 4.เทคโนโลยีล้ำสมัย และระบบความปลอดภัยที่เหนือกว่า ทั้งหมดนี้เป็นการหลอมรวมให้ Poer Sahar Diesel เป็นคู่หูเคียงข้างทุกวัน ตั้งแต่วันทำงานจนถึงช่วยท่องเที่ยว และผจณภัยในเส้นทางใหม่ๆ อันแข็งแกร่ง พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานสุดพรีเมี่ยม รองรับการปรับแต่งตามความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ

รูปลักษณ์ภายนอกของ Poer Sahar Diesel เหมือนกับตัว HEV เป๊ะๆ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะกระจังหน้าที่คราวนี้เลือกใช้โทนสีเดียวกับตัวรถให้ความแตกต่างจากตัว HEV ที่เป็นแบบโครเมี่ยม ไฟหน้าแบบโปรเจ็กท์เตอร์ LED พร้อม Daytime Timing Light ด้านข้างมิติตัวรถยาวกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน และการดีไซน์ประตูคู่หลังให้กรอบประตูโอบล้อมเสา C-Pillar เพื่อช่วยในเรื่องการเก็บเสียง แถมยังมีกิมมิคเล็กๆ โดยการใช้พื้นที่ของเสา C-Pillar ที่มีขนาดใหญ่นั่น ออกแบบให้มีช่องเก็บร่มขนาดเล็กทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมมีแผ่นปิดแบบเลื่อนสไลด์ และเจาะช่องระบายน้ำไว้เสร็จสรรพ



ชายล่างติดตั้งบันไดข้างเพื่อให้การขึ้น-ลงตัวรถมีความปลอดภัย  ด้านท้ายมีการเปลี่ยนชุดฝาท้ายจากตัว HEV ที่สามารถเปิดได้ 2 รูปแบบ เหลือเพียงรูปแบบเดียว และซ่อนกล้องไว้บริเวณโลโก้ ตัวฝาท้ายติดตั้งช็อคอัพช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเปิดใช้งาน ชุดไฟท้ายเป็นแบบ LED ให้ความสว่างชัดเจนในการใช้งาน


มิติตัวรถ GWM Poer Sahar Diesel จัดว่าใหญ่กว่ารถกระบะไซส์ 1 ตันในบ้านเราทุกค่ายเลยก็ว่า ตัวรถยาว 5,445 มม., กว้าง 1,991 มม., สูง 1,924 มม. และความยาวฐานล้อที่ยาวถึง 3,350 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 224 มม. ลุยน้ำลึกระดับ 88 มม. จัดว่าครบเครื่องทั้งมิติตัวรถที่ใหญ่ ยาว กว้างขวางนั่งสบาย และลุยได้แบบไม่ขัดเขิน

 

ภายในห้องโดยสารยังคงกลิ่นอายเดียวกับตัว Poer Sahar HEV แต่มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย เพราะได้ตัดตัว Head Up Display ออกไป(แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยได้ใช้งานกันสักเท่าใดนัก เพราะหลายท่านมองว่ากวนสายตาในขณะขับขี่) ภายในห้องโดยสารออกแบบให้มีความพรีเมี่ยม กว้างขวาง สะดวกสบายกว่าคู่แข่งพอสมควร การเลือกใช้โทนสีภายในที่ใช้สีดำ เสริมความหรูหรา หน้าจอเรือนไมล์ LED ขนาด 12.3 นิ้ว แสดงฟังก์ชั่นการทำงานของตัวรถที่สำคัญไว้ครบถ้วน  พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่น ก้านสวิทช์ Cruise Control ตัวพวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง

จออินโฟเทนเม้นท์กลางแบบทัชสกรีนขนาด 14.6 นิ้ว(รุ่น Ultra 2 WD, Ultra 4WD) และ 12.3 นิ้ว(รุ่น Pro 2 WD) ตัวหน้าจอสามารถเชื่อมต่อ Apple Car Play, Android Auto, Bluetooth, ไฟล์เพลง MP5 ได้ ถัดลงมาเป็นช่องแอร์ และชุดควบคุมระบบปรับอากาศแบบแมนนวล ถัดมามีที่วางแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย(รุ่น Ultra 2 WD, Ultra 4 WD) ตัวคันเกียร์ E-Shifter หน้าตาเหมือนกับของ TANK 300 ขนาบข้างด้วยปุ่มการทำงานต่างๆ อีกเพียบ เท้าแขนมีขนาดใหญ่เปิดออกมาเป็นช่องเก็บของ และสามารถเป็น Cool Box เล็กๆ ได้ และด้านหลังของคอนโซลกลางยังออกแบบให้มีช่องแอร์ 2 ช่อง พร้อมช่องเสียบชาร์จ USB Type A ให้อีก 2 ช่อง(เสียดายน่าจะเป็น Type A กับ Type C อย่างละ 1 ช่องจะดีมากๆ)



เบาะคนขับเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ส่วนผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ตัวเบาะนั่งออกแบบให้มีขนาดที่ใหญ่นั่งสบาย วัสดุฟองน้ำที่นำมาทำเป็นส่วนรองนั่งถือว่าดี ไม่นุ่มจนเกินไป จุดไฮไลท์ของห้องโดยสาร GWM Poer Sahar Diesel ก็คือ เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลังที่สามารถเลื่อนเดินหน้าได้ 60 มม. และเลื่อนถอยหลังได้ 20 มม. ช่วยเพิ่มพื้นที่การวางขาได้เป็นอย่างดี และที่พิเศษสุดก็คือ เมื่อใดที่มีการเลื่อนเบาะเดินหน้า ตัวพนักพิงจะเอนไปทางด้านหลัง 33 องศา ช่วยให้การนั่งเวลาเดินทางไกลๆ ลดอาการเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี และตัวเบาะนั่งยังสามารถพับแยกแบบ 40:20:40 ได้อย่างอิสระ ซึ่งเท่าที่ได้ลองนั่งเบาะหลังแล้วรู้สึกชอบมากๆ เพราะพื้นที่วางขาก็เหลือ พนักพิงเอนในระดับที่กำลังนั่งสบายเลยทีเดียว การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่าทำได้ดีในระดับที่น่าพอใจในระดับเดียวกับ TANK 300&500 Diesel



ขุมพลังบล็อกใหม่ แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบแบบแปรผัน ความจุ 2.4 ลิตร ให้แรงม้าสูงถึง 184 ตัวที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 480 นิวตัน-ม. ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที จุดเด่นของเครื่องยนต์บล็อคนี้โดยเฉพาะเรื่องพละกำลังที่มีแรงบิดให้ใช้งานตั้งแต่รอบต่ำๆ ช่วง 1,000 รอบต่อนาที ยังมีแรงบิดให้ใช้งาน 240 นิวตัน-ม. เข้าไปแล้ว และยิ่งช่วงแรงบิดที่มาเต็มที่นั่น อัตราเร่งต่างๆ ถือว่าทำได้ดีทีเดียว

เท่าที่ได้ลองสัมผัสมา ฟิลลิ่งของคันเร่งไฟฟ้าเวลาที่กดเท้าลงไป เครื่องยนต์มีการตอบสนองโดยทันที แตกต่างจากในตัว TANK300&500 Diesel ที่มีอาการรอรอบให้รู้สึกได้ชัดเจน แต่ช่วงจังหวะเร่งแซงอาจจะยังมีอาการรอรอบหรือจังหวะที่กล่อง ECU คิดว่าจะเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ลงไปที่ตำแหน่งใด เลยมีความรู้ว่ารอรอบในจังหวะเร่งแซงอยู่บ้าง ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ที่มีช่วงอัตราทดเกียร์ 8.843 สามารถเข้าสู่เกียร์ 9 ที่ความเร็วของตัวรถเพียง 90 กม./ชม. ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ และใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า รุ่น 2 WD มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 3 โหมดด้วยกัน Eco, Normal และ Sport กลับกันในรุ่น 4 WD มีแค่โหมดการขับเคลื่อน 2H, 4H และ 4L ไม่มีแพ็คเกจโหมดการขับขี่เหมือน TANK 300&500 Diesel แต่ทาง GWM ยังใจดีติดตั้ง Rear Diff Lock มาให้  

พร้อมกับยกระดับไปอีกขั้นเรื่องการควบคุมเสียงของเครื่องยนต์ NVH(Noise, Vibration and Harshness) อย่างมีประสิทธิภาพ มอบความนิ่ง เงียบ นุ่มนวล ในการขับขี่และการนั่ง มอบประสบการณ์การผ่อนคลายทั้งการเดินทางในเมือง และนอกเมือง ความจุถังน้ำมัน 78 ลิตร สามารถวิ่งได้ไกล 1,000 กม. ต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง โดยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14 กม./ลิตร(รุ่น 2 WD) และ 13.5 กม./ลิตร(รุ่น 4 WD) ตามมาตรฐาน NEDC ส่วนนึงที่เครื่องยนต์บล็อคนี้ให้การประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมนั่น เกิดมาจากระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงคอมมอนเรลที่ให้แรงดันสูงระดับ 2,000 บาร์ ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายเข้าสู่ห้องเผาไหม้ใช้งานได้อย่างหมดจด

ระบบกันสะเทือนของ GWM Pore Sahar Diesel ติดตั้งอยู่บนแซสซีส์อันแข็งแกร่ง โดยทางด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ ปีกนก 2 ชั้น(ปีกนกบนเป็นแบบอลูมิเนี่ยม) สตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังเป็นแบบ คานแข็ง แหนบแผ่น(วางตำแหน่ง แผ่นแหนบอยู่เหนือเพลา) ช็อคอัพไขว์ ซึ่งทาง GWM แจ้งมาว่ามีการปรับเซ็ทอัพมาใหม่ให้มีความนุ่มนวล นั่งสบายขึ้นกว่าตัว HEV และช่วงล่างเซ็ทนี้เป็นเซ็ทเดียวกับที่ส่งขายในออสเตรเลีย



ซึ่งเท่าที่ได้ลองสัมผัสบนถนนเส้นบางนา-ตราด พบว่าอาการของช่วงล่างชุดนี้แม้ว่าจะวิ่งตัวเปล่าไร้น้ำหนักบรรทุก ถือว่าทำได้ดี อาการดีดดิ้นของท้ายรถมีน้อย แถมยังให้ความนุ่มนวลในระดับที่ใกล้เคียงรถแบบ SUV การโยนขึ้น-ลง คอสะพาน ตัวรถไม่มีอาการส่ายสะบัดให้ผู้ขับขี่ต้องประคองพวงมาลัยจนเครียดแต่อย่างใด ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ แร็คแอนด์พิเนี่ยนไฟฟ้า ปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ ซึ่งน้ำหนักของพวงมาลัยถือว่าดีไม่น้อย อัตราทดพวงมาลัยไม้ได้ฉับไวมาก แต่ก็ไม่ได้ย้วยยานจนต้องหมุนพวงมาลัยหลายรอบแบบรถบรรทุก รัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 6 ม. นิดๆ(ไม่ได้ถือว่ากว้างมาก เมื่อเทียบกับความกว้าง และความยาวของฐานล้อ)

ระบบเบรคเป็นดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ โดยที่จานเบรกคู่หลังออกแบบให้มีครีบรายความร้อนบริเวณสันจานมาให้เสร็จสรรพ ช่วยให้การขับขี่ และการบรรทุกสัมภาระหนักๆ ให้ความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี จังหวะการทำงานของแป้นเบรคไม่ถือว่าเร็วจนเกินไป สามารถควบคุมน้ำหนักเท้าในการคอนโทรลเบรคได้สบายๆ เบรคมือเป็นแบบไฟฟ้าตามยุคสมัย ส่วนทางด้านระบบความปลอดภัยอื่นๆ ของตัวรถมีมาให้ครบครันอาทิ ถุงลมนิรภัย 6 จุด, ระบบ ADAS Level 2 ที่มีระบบ Adative Cruise Control ที่ให้ความมั่นใจในการใช้งานได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เท่าที่เราได้ลองเล่นมา


การขยับตัวเสี่ยงดวงเข้าสู่แวดวงตลาดรถกระบะเชิงพาณิชย์ในการบ้านอีกครั้ง โดยจับเครื่องยนต์ดีเซลจาก TANK300&500 Diesel มาใส่นั่น ถือว่าเป็นการเปิดเกมที่น่าสนใจทั้งในเรื่อง ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การโชว์จุดเด่นของตัวรถ แผนการตลาดที่จะวางตำแหน่งตัวเองไว้แบบไหน เพราะตอนนี้เจ้าตลาดอย่าง Toyota ได้เปิดตัวกระบะรุ่นใหม่ล่าสุด Travo ออกมาแล้ว โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายจุดเมื่อเทียบกับ Revo ตัวเดิม

GWM พร้อมทำตลาด Pore Sahar Diesel ด้วยรถ 3 รุ่น 2 WD Pro, 2 WD Ultra และ 4 WD Ultra สนนราคาค่าตัวเท่าที่คาดการณ์คร่าวๆ ต้องถูกกว่าตัว HEV ที่เคยเปิดราคาไว้ระดับ 1.399 ล้านบาทในรุ่นท็อป ถ้า GWM อยากสร้างความฮือฮาต้องเล่นราคาตัวเริ่มต้นระดับ 9 แสนต้นๆ และตัวท็อป 1.2 ล้านกลางๆ ราคาที่แน่นอนรถชมกันได้ในงาน Motor Expo 2025 วันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568            

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้