Tank 500 Diesel หัวใจใหม่ที่ลงตัว..ขับดีกว่าที่คิด

141 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หลังจากที่ค่าย เกร์ท วอลล์ มอเตอร์ ได้เปิดตัว Tank 300 Diesel จนรับความนิยมอย่างแพร่หลายจากสาวกที่ชื่นชอบรถลุยรูปทรงที่เน้นความบึกบึน สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลก็เป็นที่ยอมรับในการนำไปลุย และใช้งานในชีวิตประจำวัน เลยทำให้ทางค่ายจับเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกนี้มาลงในพี่ใหญ่ของกลุ่ม PPV ประจำค่ายอย่าง Tank 500 ที่หลายคนต่างเฝ้ารอกัน หลังจากตัว HEV มียอดจำหน่ายที่ไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิดเอาไว้

รูปลักษณ์ภายนอกของ Tank 500 Diesel รูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างไปจากตัว HEV ที่เน้นความหรูหรา และมิติตัวรถที่ใหญ่โตเทียบกับคู่แข่งในตลาด PPV ได้อย่างสบายๆ แต่สิ่งที่แตกต่างจากตัว HEV เมื่อแรกพบก็คือ บานฝาท้ายที่ไม่มียางอะไหล่มาเกาะอยู่บนฝาท้ายอีกแล้ว(ฝาท้ายเป็นแบบ Soft Close ประตูดูดไฟฟ้า) เพราะตัวดีเซลได้ทำการย้ายยางอะไหล่ลงไปไว้ทางด้านล่างแทน เนื่องจากไม่มีชุดแบตเตอรี่ของระบบไฮบริดแล้วนั่นเอง



ชุดไฟหน้ายังคงเป็นแบบ Full LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ พร้อมระบบไฟสูง Auto-High Beam เส้นสายทางด้านข้างยังคงเหมือนเดิม ติดตั้ง Roof Rack มาให้จากโรงงาน ตัวหลังคาเป็นแบบ Panoramic Sunroof  พร้อมม่านบังแดดปรับด้วยไฟฟ้า ทางด้านท้ายมาพร้อมกับชุดไฟท้ายแบบ LED มิติตัวรถจริงๆ เท่ากันทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็นตัว HEV หรือตัว Diesel แต่ Data Spec กลับบอกว่าความยาวของตัวรถ Hev กลับยาวกว่าตัว Diesel ประมาณ 192 มม. เพราะเขาวัดรวมยางอะไหล่ที่ติดอยู่บานฝาท้ายก็เท่านั่น

 

ภายในห้องโดยสารยังคงเน้นความหรูหราเหมือนตัว HEV อ๊อฟชั่นต่างๆ ไม่ได้ถูกตัดออกแต่อย่างใด คอนโซลหน้าดีไซน์เน้นความเรียบหรู เลือกใช้โทนสีดำเน้นความเรียบง่าย จอเรือนไมล์แบบ LED 12.3 นิ้ว พร้อม Head-up Display ถัดมาเป็นจอมัลติมีเดียกลางขนาด 14.6 นิ้ว(รุ่น 2 WD Pro จะได้จอขนาด 12.3 นิ้ว) แบบทัชสกรีน แสดงผลการทำงานต่างๆ ของตัวรถได้ และเชื่อมต่อ Apple Car Play, Android Auto ได้ พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมปุ่มมัลติดิสย์เพลย์ และก้านของระบบ Cruise Control พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง



เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มด้วยหนัง Nappa พร้อม Welcome Seat ทั้ง 2 ฝั่ง เบาะฝั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8   ทิศทาง มี memory Seat พร้อมระบบนวด 4 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารตอนหลังหุ้มหนัง Nappa เช่นเดียวกัน ติดตั้งระบบเลื่อนเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาให้ผู้โดยสารแถว 2 และ 3 ให้นั่งสบายยิ่งขึ้น ตัวเบาะพับแยก 60:40 พร้อมกลไกการยกเบาะฝั่งซ้ายเพื่อให้ผู้โดยสารแถวที่ 3 ขึ้นลงได้สะดวกยิ่งขึ้น เบาะนั่งแถว 3 หุ้มหนัง Nappa อีกเช่นกัน พับแยกแบบ 50:50


ระบบปรับอากาศตอนหน้าแบบอัตโนมัติ Dual Zone และทางด้านหลังมาพร้อมกับช่องแอร์ทุกที่นั่ง และปรับแรงพัดลม อุณหภูมิแยกจากทางด้านหน้า ประตูผู้โดยสารตอนหลังติดตั้งม่านบังแดดมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง มีระบบลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร Active Reduction ระบบเครื่องเสียงพร้อมชุดลำโพงจาก Armor 12 ตำแหน่ง(รุ่น 4 Ultra จะได้ชุดลำโพงจาก Infinity 12 ตำแหน่ง) ให้ซุ้มเสียงที่ดีเลย มีท่านชาร์จโรศัพท์ไร้สาย Wireless Charger ขนาด 50 W ติดตั้งเหนือชุดคันเกียร์ ตัวชุดคันเกียร์แบบ Electronic e-Shifter


 

ไฮไลท์หลักจาก Tank 500 Diesel คงหนีไม่พ้นเครื่องยนต์ดีเซลความจุ 2.4 ลิตร ตัวเดียวกับ Tank 300 Diesel โดยตัวเครื่องยนต์เป็น ดีเซลคอมมอนเรล แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGT ให้แรงม้า 184 ตัวที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 480 นิวตัน-ม. ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที(รองรับน้ำมัน B20) จับคู่กับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part Time(รุ่น 4 WD Ultra) และขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง(รุ่น 2 WD Pro, 2 WD Ultra) ในรุ่น 4 WD Ultra มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 2H, 4H, 4L และแบบแพ็กเกจ Snow, Sand, Mountain, Gravel, Dirt, Expert และมีการติดตั้งระบบ Electronic Differential Lock ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ยังไม่นับรวมระบบกลับในรถในที่แคบ Tank Turn ดด ส่วนรุ่น 2 WD Pro, Ultra มีโหมดการขับขี่ Eco, Normal, Sport



ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเลือกใช้แบบ อิสระ ปีกนก 2 ชั้น สตรัทคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบคานแข็ง มัลติลิ้งค์ โดยชุดช่วงล่างของตัว 500 Diesel มีการปรับเปลี่ยนตัว คอยล์ปสริง พร้อมช็อคอัพใหม่ ให้เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวรถ และกำลังของเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนไปจากตัว HEV ระบบังคับเลี้ยวเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนี่ยนEPS ระบบเบรคเป็นดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ ล้อแม็กในรุ่น 2 WD Pro ให้ล้อขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางไซส์ 265/60 R 18 และรุ่น 2 WD Ultra กับ 4 WD Ultra จะให้ล้อไซส์ 20 นิ้ว รัดไว้ด้วยยางไซส์ 265/50 R 20



ระบบความปลอดภัยของ Tank 500 Diesel ให้มาเต็มพิกัดอาทิ ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ระบบเบรค ABS, EBD, BA, ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ TJA, ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรง และทางแยก AEBI, ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ LSEB, ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง RCW, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA, ระบบช่วยเบรคเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTB, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา Blind Sport FCTA/ FCTB



ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า CW, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ในภาวะฉุกเฉิน ELK, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LCK, ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 SCM, กล้องรอบคัน 360 องศา, เซ็นเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง และด้านหลัง 4 ตำแหน่ง



จบในเรื่องของการแจกแจงรายละเอียดตัวรถกันไปแล้วทีนี่เราไปลองขับกันดีกว่า ในเรื่องของพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบายมากโดยเฉพาะเบาะนั่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้า ทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดเจนดีมาก แม้จะลองปรับเบาะให้ต่ำสุดก็ตาม ส่วนรองนั่งออกแบบให้นั่งสบายรองรับต้นขาได้ดีทีเดียว เบาะนั่งแถม 2 ก็ให้ความกว้างขวางนั่งสบาย พนักพิงหลังปรับได้ 5 ระดับ เพิ่มความสบายให้กับผู้โดยสารขณะเดินทางไกลได้ดีทีเดียว กลไกการยกเบาะเพื่อให้ผู้โดยสารแถว 3 ขึ้น-ลง ก็สะดวกไม่ต้องใช้แรงเยอะ ผู้โดยสารแถว 3 ถ้าจะให้นั่งสบาย ผู้โดยสารแถว 2 ขยับเบาะเลื่อนเดินหน้าอีกสักหน่อย นั่งเดินทางไกลได้แบบไม่มีบ่น เสียงเครื่องยนต์หลังสตาร์ทมีเข้าห้องโดยสารน้อยมาก ระบบปรับอากาศทำงานได้แข็งขัน เย็นสบายทั่วคัน



อัตราเร่งของตัวเครื่องดีเซล 2.4 ลิตร เมื่อมาอยู่ในบอดี้ของ Tank 500 ถือว่าทำได้ดี อัตราเร่งออกตัวไม่ถือว่าอืด อาการรอรอบของคันเร่งกลับน้อยกว่าในตัว Tank 300 Diesel อย่างเห็นได้ชัด(คงมีการปรับโปรแกรมคันเร่งไฟฟ้าในกล่อง ECU มาแน่นอน) ขับใช้งานตามปกติ เสียงเครื่องมีเข้ามาในห้องโดยสารให้พอได้ยินบ้างแต่ไม่น่ารำคาญใจ จังหวะกดคันเร่งเพื่อแซง ตัวเครื่องยนต์มีการตอบสนองที่กระฉับกระเฉงดี เกียร์ 9 จังหวะ ก็ปรับอัตราทดให้สอดคล้อง และอาการกระตุกกระชากในขณะเปลี่ยนเกียร์แทบจะไม่รู้สึก

ฟิลลิ่งของพวงมาลัยถ้าปรับแบบ Normal ถือว่ากำลังดีไม่หนักหรือเบาจนเกินไป(พวงมาลัยรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ) อัตราทดพวงมาลัยก็ทำได้ดีพอตัว แต่ความรู้สึกเหมือนจะให้การตอบสนองที่ดีกว่าตัว HEV เดิม คิดว่าเพราะน้ำหนักหน้ารถที่เบาลงจากเดิมนิดหน่อย เพราะตัว HEV มีทั้งเครื่องยนต์ มอเตอร์ขับเคลื่อน และตัวอินเวอร์เตอร์ เวลาเข้าโค้งด้วยความเร็วปกติ อาการยุบตัวของช่วงล่างมีบ้างแต่ไม่วูบวาบเหมือนตัว HEV วิ่งบนถนนคอนกรีตความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. มีอาการกระด้างอยู่บ้าง แต่ยังรับได้ อาการท้ายรถมีโยนๆ นิด เมื่อเจอคอสะพาน แต่อาการดีกว่าตัว HEV เยอะ การโยกเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วระดับ 80 กม./ชม. ตัวรถมีการยุบตัวตามการถ่ายเทของน้ำหนักตัวรถ แต่อาการของรถเอาอยู่ผู้ขับขี่ไม่เครียด

ฟิลลิ่งของแป้นเบรคดีกว่าตัว HEV ส่วนนึงมาจากตัว แวคคั่มของหม้อลมเบรคใช้เป็นแวคคั่มที่มาจากตัวเครื่องยนต์(HEV ใช้แวคคั่มไฟฟ้า) ดังนั่นฟิลลิ่งการตอบสนองของแป้นเบรค ผู้ขับขี่สามารถคุมน้ำหนักในการกดแป้นเบรคเพื่อชะลอความเร็วหรือหยุดรถได้ดีกว่าตัว HEV ตั้งแต่แรกสัมผัส การตอบสนองของเบรคถือว่าดี เอาอยู่แม้น้ำหนักของตัวรถจะเยอะแตะระดับ 2 ตัน  



ต่อมาเราได้มีโอกาสลองในเส้นทางออฟโรดบ้างนิดหน่อย การปรับโหมดการขับขี่จาก 2H มาเป็น 4H เพียงแค่หมุนปุ่ม Mode หลังคันเกียร์ แบบ Shift on the Fly ใช้งานสะดวก ระบบจะถ่ายกำลังไปยังล้อคู่หน้า-คู่หลังแบบ 50:50 ทำให้เกิดความมั่นใจในการลุยเส้นทางที่เป็นโคลน หรือทางลื่นๆ ได้สบายๆ วงเลี้ยวของพวงมาลัยอาจกว้างขึ้น และมีอาการขืนของล้อคู่หน้า เพราะแรงบิดถ่ายไปที่ล้อคู่หน้าถึง 50%



กลับกันพอถึงเวลาลุยแบบโหดๆ กับโหมด 4L การไต่เนินชันระดับ 20 องศา และความสูง 6 เมตร กลับเป็นเรื่องง่าย ผู้ขับขี่คอนโทรลคันเร่งให้รอบเครื่องแตะระดับ 1,500 รอบ ซึ่งเป็นจุดที่แรงบิดสูงสุดมีให้ใช้งาน ตัวรถไต่ขึ้นทางชันแบบสบายๆ และยิ่งมีกล้อง 360 องศา ยิ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในขณะขับขึ้นบนทางลาดชันได้ดีทีเดียว ระบบ Diff Lock หน้า และหลัง ก็ช่วยให้ตัวรถสามารถลุยผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ไปได้แบบสบายๆ คันเร่งแทบไม่ต้องแตะเยอะ รอบเครื่องน้อยๆ ตัวรถหนัก 2 ตัน ก็เคลื่อนตัวผ่านอุปสรรค์ได้แบบสบายๆ



ภาพรวมของ Tank 500 Diesel รูปลักษณ์ภายนอกแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสาร แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจริงๆ ก็คือเรื่องของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่กังวลมากว่าจะแบกบอดี้หนักๆ ไหวไหม แต่พอได้ลองสัมผัสแล้ว ถือว่าดีกว่าที่คิด ระบบตัวช่วยต่างๆ ทำงานได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ไม่ชอบก็คือ เวลาปรับโหมดการขับขี่ หน้าจอแสดงผลโหมดการขับขี่ต่างๆ ไม่ค่อยชัดเจนนัก และแต่ละโหมดดูเหมือนโดดไปมา ควรเรียงโหมดการขับขี่ให้ผู้ขับปรับ และใช้งานได้ง่ายกว่านี้ นอกนั้นก็คงต้องรอดูเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์กับระบบส่งกำลังที่การันตีไว้ที่ 1 ล้านกิโลเมตร


Tank 500 Diesel มีทั้งหมด 3 รุ่น 2 WD Pro เปิดราคามาที่ 1.399 ล้านบาท, รุ่น 2 WD Ultra ราคา 1.499 ล้านบาท รุ่น 2 WD Ultra Black Warrior ราคา 1.529 ล้านบาท รุ่น 4 WD Ultra ราคา 1.599 ล้านบาท และรุ่น 4 WD Ultra Black Warrior ราคา 1.629 ล้านบาท ราคานี้เป็นราคาพิเศษช่วงเปิดตัว จำกัดเพียง 500 คันแรก พร้อมกับการรับประกันคุณภาพตัวรถ 5 ปี หรือ 150,000 กม. รับประกันตัวเครื่อง 8 ปี หรือ 1,000,000 กม. ท่านใดสนใจอยากสัมผัสตัว หรือลองสรรถนะเชิญได้ที่โชว์รูม GWM ทั่วประเทศ 


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้