เชฟโรเลต ชวนขับ โคโลราโด เซนเทนเนียล อิดิชั่น 2018 และ โคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม ร่วมอนุรักษ์สัตว์ป่า

862 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โดย ปัณฐวิชญ์ ศรีสุริยกานนท์

ช่วงปลายปี 2560 บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถ เชฟโลเลต โคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม และ โคโลราโด เซนเทนเนียล อิดิชั่น 2018 โดยตัวสตอร์มนั้นได้เพิ่มสีใหม่คือสีน้ำเงิน ส่วนตัวเซนเทนเนียล อิดิชั่น 2018 เป็นตัวลิมิเต็ดอิดิชั่น ผลิตเพียงไม่กี่คันเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปี ของ กระบะเชฟโรเลต

ทางค่ายเชฟโรเลต จึงได้เชิญบรรดาสื่อมวลชน เข้ามาร่วมทดสอบประสิทธิภาพของรถสองรุ่นนี้ โดยพาบรรดาสื่อมวลชนไปร่วมทำกิจกรรมสร้างโป่งเทียมและช่วยกันสร้างรั้วกึ่งถาวรเพื่อป้องกันช้างป่าบุกรุกเข้าสู่พื้นที่การเกษตรและบริเวณที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อรถยนต์ที่สัญจร ณ. อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ จ.ประจวบคีรีขันธ์

สำหรับกิจกรรมคราวนี้เริ่มออกตัวจากโรงแรม ดับเบิ้ลยู โฮเต็ล ถนนสาทร โดยช่วงแรกทีมงานได้ขับตัว โคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม เป็นคันแรก ซึ่งตัว โคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม ที่เราขับขี่คราวนี้เป็นตัวสีน้ำเงิน ซึ่งถือว่าเป็นตัวธงของรุ่นนี้เลยทีเดียว โดยอุปกรณ์ตกแต่งที่เสริมเข้ามาแตกต่างจากตัวธรรมดาคือ สปอร์ตบาร์ด้านหลังสีดำ, ล้ออัลลอยสีดำขอบ 18”, มือจับเปิดประตู มือจับฝาท้ายเป็นสีดำ, คาดสติ๊กเกอร์หน้ารถเป็นสีดำพร้อมใส่โลโก้ สตอร์ม แอบเพิ่มความสวยด้วยสติ๊กเกอร์ลายยางรถสีดำด้านข้างรถด้วย

ด้านการขับขี่นั้น การตอบสนองของพวงมาลัยทำได้ดี และน้ำหนักของพวงมาลัยที่เบาเวลาขับช้าๆ และเริ่มหน่วงให้หนักขึ้นตามความเร็วที่ใช้เนื่องจากพวงมาลัยถูกเปลี่ยนเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าไปแล้วทำให้ตัวพวงมาลัยมีน้ำหนักเบาขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด ทางทีมงานขับบนนถนนไฮเวย์ โดยใช้ความเร็วพอประมาณ 120-130 กม./ช.ม. รอบที่ใช้อยู่ประมาณ 2,000-2,300 รอบ/นาที ด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ทำให้รอบเครื่องยนต์ต่ำประหยัดน้ำมันมากขึ้น ด้านอัตราเร่งนั้น รถตัวเปล่าถือว่าทำได้ดี เนื่องจากระบบเทอร์โบเป็นเทอร์โบแปรฝัน (VGT) ทำให้สามารถเรียกแรงบิดให้มาใช้งานตั้งแต่รอยต่ำเลย ซึ่งแรงบิดรถคันนี้มีให้ใช้ถึง 440 นิวตันเมตรที่รอบ 2,000 รอบ/นาที  จึงไม่ต้องห่วงเรื่องของอัตราเร่งที่สามารถเร่งแซงรถได้อย่างสบาย

ช่วงล่าง ทางด้านหลังอาจจะมีกระเด้งนิดหน่อยตามนิสัยของรถกระบะ แต่อยู่ในเกรณ์ที่รับได้ ไม่กระเด้งเหมือนตัวเก่าๆ ของทางเชฟเอง จากนั้นเราขับรถไปที่โรงงานนิยมค้าเกลือ เพื่อไปขนเกลือที่มีน้ำหนักรวมกว่า 500 กิโลกรัม เพื่อที่จะไปทำโป่งเทียมให้กับช้างที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จากนั้นที่บรรทุกเกลือแล้วก็ขับออกมาจากโรงงานก่อนมุ่งหน้าไปที่ ป่าละอู อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังจากที่บรรทุกของมาร่วมๆ 500 กิโลกรัมแล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือความนุ่มนวลของช่วงล่างด้านหลัง รู้สึกได้เลยว่านิ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอัตราเร่ง ถ้าเทียบกับตัวเปล่านั้นก็จะด้อยลงไปหน่อยต้องใช้คันเร่งมากขึ้นกว่าปรกติเพื่อที่จะให้รถทะยานไปข้างหน้าได้ดีขึ้นแต่รวมๆ แล้วถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

ขับมาจนถึงศูนย์บริการ ข้อมูล ป่าละอู ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้อธิบายประวัติคร่าวๆ ของตัวอุทยานและบอกถึงวัตถุประสงค์ที่เราต้องทำโป่งเทียม ว่าทำเพื่อประโยชน์อะไร รวมทั้งยังอธิบายถึงวัตถุประสงค์ของการสร้างรั้วกึ่งถาวรอีกด้วย หลังจากที่อธิบายข้อมูลเรียบร้อย เริ่มออกเดินทางกันต่อเพื่อที่จะเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางออพโรดเล็กๆ พอสนุกสนาน แต่คราวนี้ทีมงานได้เปลี่ยนเป็นรถโคโลราโด เซนเทนเนียล อิดิชั่น 2018 สำหรับตัวนี้ สิ่งที่แตกต่างอันดับแรกคือโลโก้โบว์ไทฉลองครบรอบกระบะ 100 ปี ตราสัญลักษณ์ฉลองครบรอบ 100 ปี สติ๊กเกอร์สีดำรุ่นพิเศษด้านบนฝากระโปรงหน้า ล้ออัลลอยขอบ 18” สีดำ นอกจากนี้ยังมีพื้นปูกระบะและชุดคิ้วล้อสีดำที่เพิ่มเข้ามาอีกด้วย ส่วนสปอร์ตบาร์สีดำเงาในรุ่นแอลทีแซด เครื่องยนต์ยังเป็นเครื่องดูราแม็กซ์ 4 สูบ 2.5 ลิตร ดีเซล เทอร์โบแปรผัน (VGT) มีแรงม้าให้ใช้ 180 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือระบบเบรกที่ปรับเซ็ทใหม่ให้นุ่มนวล เกาะถนนขึ้น เพื่อรองรับการขับขี่แบบบรรทุกสัมภาระและไม่บรรทุกสัมภาระนั้นเอง

ออกจากศูนย์บริการข้อมูล ป่าละอู เราขับแบบออนโรดแป็ปนึง ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปสู่เส้นทางออฟโรด โดยในช่วงแรกทีมงานได้ใช้โหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ ในการขับขี่คราวนี้ ซึ่งถือว่าผ่านได้อย่างสบายๆ แต่ต้องมีเพิ่มคันเร่งส่งให้ผ่านขึ้นเนินไปบ้าง และต้องใช้คันเร่งเนียนๆ บ้าง เพื่อช่วยเค้าให้ผ่านเนินไปให้ได้ พอไปถึงที่หมายเราก็ร่วมทำกิจกรรม ทำโป่งเทียม สร้างแนวรั่วกึ่งถาวร หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ เราก็ขับออกมาเส้นทางเดิม แต่คราวนี้ทางทีมงานใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อขับออกมาจากพื้นที่ พร้อมทั้งเปิดระบบตัวช่วยลงทางลาดชัน(HDC) เราข้ามเรื่องระบบขับเคลื่อนสี่ล้อออกไปเลยหละกัน เพราะว่าพอปรับไปที่โหมดขับสี่แล้ว เราใช้เดินคันเร่งน้อยมาก ด้วยกำลังของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อทำให้รถเข้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างสบายๆ และที่ทีมงานเปิดระบบ(HDC) ก็อยากจะทราบว่าถ้าเราเข้ามาสู่พื้นที่ ที่เป็นออฟโรดจริงๆ การทำงานของเจ้าระบบนี้จะเป็นอย่างไร บอกได้เลยว่าขับง่ายเกินคาด เวลาลงจากเนินที่มีทางลาดชัน เจ้าระบบนี้จะช่วยชะลอความเร็วให้เรา โดยที่เราไม่ต้องเหยียบเบรกหรือเหยียบคันเร่งเลย  ทำให้การขับขี่แบบออฟโรดง่ายขึ้นมาอีกเป็นกองเลยทีเดียว สรุปโดยรวมๆ ถือว่าขับขี่ใช้งานได้ดีทั้งบนถนนหลวงและบนทางออฟโรด

 

ขอบคุณ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ที่เชิญทีมงาน เว็ปไซค์ www.lifestyle224.com ไปร่วมทำกิจกรรมในคราวนี้ด้วยนะครับ  

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้