บินลัดฟ้าไปตะลุยทะเลทรายมุยเน่กับ Ford Ranger Rapter

1348 จำนวนผู้เข้าชม  | 


โดย สุรพงษ์ ศิริชาติ

ช่วงต้นอาทิตย์ที่ผ่านมา ฟอร์ด ประเทศไทย  ได้เชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์รวมถึงพวกเราทีมงาน LIFESTYLE224 บินลัดฟ้าไปร่วมทริปสุดเอ็กซ์คูลซีฟกับการพิสูจน์สมรรถนะกับรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง สายพันธุ์แกร่ง “ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ณ ประเทศเวียดนาม

 

ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องการทดสอบ “ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์” กับทริปพิเศษในครั้งนี้ภายใต้ชื่อคอนเซปต์งาน Ranger Rapter:Arabian in Mui Ne ตัวรถที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมให้กับสื่อมวลชนสายยานยนต์ได้ทดสอบในครั้งนี้ ประกอบด้วย “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” เวอร์ชั่นปี 2018 จำนวน 4 คัน และเวอร์ชั่น 2020 อีก 4 คัน



จุดที่มีการปรับเปลี่ยนของ “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” เวอร์ชั่นปี 2020 มีการเพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการขับขี่ให้ดีขึ้นไปอีกขั้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีความปลอดภัยช่วยเหลือในการขับขี่อัจฉริยะ อาทิ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision System) และระบบช่วยควบคุมตัวรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System)


“เรนเจอร์ แร็พเตอร์” เวอร์ชั่น 2020 ใช่เพียงเพิ่มเติมระบบความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว อุปกรณ์ภายนอกตัวรถได้มีการปรับเปลี่ยนให้ดูทันสมัย และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า LED แบบโปรเจ็คเตอร์ ปรับเปลี่ยนเลย์เอ้าท์กรอบจากทรงกลมมาเปลี่ยนทรงเหลี่ยม, ไฟ Daytime Running แบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ LED Projector with LED and Auto Headlamps

 



ภายในห้องโดยสาร “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ปี 2020 แทบไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรไปจากเดิม ยกเว้นเรือนไมล์ ที่เพิ่ม แลนมิเตอร์ เอาไว้ดูระดับความเอียงของตัวรถ อันเป็นของจำเป็นสำหรับรถแนวออฟโรด ส่วนระบบเครื่องเสียงมีการอัพเกรดระบบ SYNC3 สั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย พร้อมระบบช่วยโทรฉุกเฉิน(Emergency Assistance) และช่องต่อ USB ที่กระจกมองหลัง (Windscreen Mount USB) หลายสิ่งที่เพิ่มเติม และปรับเปลี่ยนใน “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” เวอร์ชั่น 2020 นอกจากความปลอดภัย แล้วยังให้ความสะดวกสบายในการเดินทาง    

 

เข้าเรื่องกิจกรรมการทดสอบในครั้งนี้ หลังจากบินจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิมุ่งหน้าสู่เมืองดาลัด ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเวียดนาม ที่สวยงามมากๆ ในเรื่องของดอกไม้สวยๆ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เพราะตัวเมืองฝังตัวอยู่กลางหุบเขา เราใช้เวลาในการเดินทางเพียง 1.30 ชม. ก็แตะรันเวย์ท่าอากาศยานดาลัด แล้วเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่พักเทอร์ราคอตต้า รีสอร์ท ระยะทางประมาณ 30 กม. ด้วยรถ Ford Transis ที่นิยมอย่างมากในเวียดนาม



ถึงโรงแรมที่พักเก็บสัมภาระ บรีฟเส้นทาง และกิจกรรมในวันแรกเสร็จสิ้น เราก็ออกเดินทางด้วย “เรนเจอร์ แร๊พเตอร์” มุ่งหน้าไปยังจุดชมวิว Doi Co Hong(โด่ย ก่อ ฮอง) “ภูเขาหญ้าสีชมพู” แหล่งท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่งของเมืองดาลัด ยิ่งถ้าช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนเมษายน จุดชมวิวแห่งนี้จะเต็มไปด้วย ดอกไม้สีชมพูเบ่งบานเต็มภูเขากันเลยทีเดียว จากโรงแรมที่พักมาถึงจุดชมวิวใช้ระยะทางประมาณ 20 กม.



จุดชมวิวแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสนามทดสอบสมรรถนะของเจ้า “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ในรูปแบบของ “ออฟโรด” เพื่อให้เห็นถึงสมรรถนะอันโดดเด่นของเครื่องยนต์ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร 213 แรงม้า แรงบิดระดับ 500 นิวตัน-ม. เมื่อจับคู่กับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด อันชาญฉลาด พร้อมระบบ Terrain Management System(TMS) ทางทีมงานจัดวางสเตชั่นการทดสอบไว้ทั้งหมด 7 สเตชั่น ประกอบด้วย 1. HDC Mode ใช้ทางลงเนินยาว และชันพอประมาณ, 2. Suspension ลงบ่อโคลนลุยเบาๆ, 3. Slope ขึ้น-ลง เนินเอียงชัดระดับ 45 องศา, 4. Rebound Rebump ไต่ขอบบ่อลึก, 5. Baja Mode ทางฝุ่นวิ่งยาวๆ, 6. Diff Lock ร่องน้ำธรรมชาติ ยาว และลึก ตบท้ายด้วย 7. Grave Mode ไต่ขึ้นเนินชัน

 

 

ในแต่ล่ะสเตชั่นผู้เข้าร่วมการทดสอบจะได้สัมผัสถึงพละกำลังของเครื่องยนต์ และระบบ TMS ซึ่งทำงานสอดผสานกันได้อย่างดีเยี่ยม แบ่งถ่ายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 ได้อย่างเหมาะสม ทำให้การขับขี่บุกตะลุยในแต่ละสถานทีการทดสอบผ่านไปอย่างง่ายได้ มือใหม่ที่ไม่เคยขับในเส้นทางออฟโรด แต่เข้าใจการเลือกโหมดการขับขี่ การวางตำแหน่งของล้อหน้า ก็สามารถจะพาเจ้า “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ผ่านอุปสรรค์เส้นทางที่ขวางอยู่ข้างหน้าไปได้แบบสบายๆ แม้ในบางช่วงตัวผมเองแอบซนปรับเปลี่ยนระบบ TMS เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนให้ไม่ตรงกับโจทย์ที่ทีมงานทดสอบได้กำหนดเอาไว้นั่น ตัวรถก็ยังสามารถพาผ่านอุปสรรค์ไปได้แบบไม่ต้องลุ้น..



ส่วนหนึ่งนอกจากขุมกำลังที่มีพละกำลัง แรงบิดที่เหลือเฟือ ความชาญฉลาดของชุดเกียร์ที่ทำงานสอดประสานกับระบบ TMS ได้อย่างเข้าขา ความกว้างของฐานล้อหน้า-หลัง ความสูงของตัวรถ ที่ช่วยให้ทุกสภาพเส้นทางที่ดูเหมือนจะผ่านไปได้ยากกลับกลายเป็นเรื่องง่ายดาย แถมชุดระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษจาก FOX ช่วยซัพแรงสั่นสะเทือนในทุกเส้นทางการขับขี่ได้ดีเยี่ยม(ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการโดดเนิน) ระยะยืด-ยุบ มีเหลือเฟือ หลุมจะลึกเพียงใด ล้อข้างใดจะแควนลอย แต่สุดท้ายเพียงเข้าใจระบบโหมดการขับขี่ และใช้การเติมคันเร่งแบบเนียนๆ ทุกอย่างก็ดูง่ายดาย



วันต่อมาเราออกเดินทางจากเมืองดาลัดมุ่งหน้าสู่เมืองชายทะเล แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งของเวียดนาม เพราะนอกจากมีทะเลที่สวยงาม(เพราะเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก) ไฮไล้ท์ก็คือ ทะเลทราย ซึ่งมีอยู่ 2 แบบคือ Red Sand Dune กับ White Sand Dune เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบไปสัมผัสกับทะเลยทรายผิวอ่อนนุ่ม ทรายเม็ดละเอียด เกิดจากการรังสรรค์ขึ้นมาของธรรมชาติ ระยะทางจากเมืองดาลัดมุ่งหน้าสู่มุยเน่ 159 กม. ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม. ด้วยเส้นทางแบบ 2 เลนสวน ทางโค้งสลับไปสลับมาบางช่วง และสุดท้ายคือ ความเร็วที่ใช้ตามกฎหมายเวียดนามกำหนดคือ 80 กม./ชม.



เมื่อมาถึง White Sand Dune แล้ว ทางทีมงานได้ทำการปล่อยลมยางรถทดสอบจากสแตนดาร์ด 35 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว(สเปกโรงงาน) เหลือเพียงแค่ 10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพิ่มพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับทรายที่ละเอียด และอ่อนนุ่ม พร้อมกับบรีฟเส้นทางในการขับบนทะเลทรายแห่งนี้ จุดไฮไล้ท์คือ การทิ้งดิ่งจากยอดของทะเลทรายความสูงประมาณตึก 3-4 ชั้น ซึ่งตอนนั่งดูเส้นทางรอบแรกจะเสียวๆ หน่อย แต่พอขับเองจริงๆ ก็ไม่ได้เสียวอย่างที่คิดเอาไว้



โดยการขับบน White Sand Dune เราปรับโหมดระบบขับเคลื่อนมาเป็น 4Hi และระบบ TMS จะเลือกใช้ระหว่าง Sand Mode หรือ Baja Mode ก็ได้ ตอนที่ผมได้ลองขับผมเลือกปรับมาใช้ Baja Mode เพราะการตอบสนองของคันเร่งที่ทันอกทันใจ การตอบสนองของเกียร์ก็กระชับฉับไว อัตราทดของพวงมาลัย “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ตอบสนองได้ดีเยี่ยมในสภาพที่เส้นทางแบบนี้ ยิ่งจับคู่กับยาง BF Goodrich รุ่น KO2 แบบ A/T ที่ ฟอร์ดเลือกนำมาใช้ช่างพอเหมาะพอดี ขับสนุก แต่งแต้มพวงมาลัยให้ไปตามทิศทางที่เราจะไปได้แม่นยำ


พละกำลังของเครื่องยนต์ตอบสนองได้ดั่งใจนึก เพราะตลอดการขับบน White Sand Dune ผมกดคันเร่งแทบจะ 100% ตลอดการตะลุยบนเส้นทางนี้ มีเร่งบ้าง ผ่อนบ้าง ในบางช่วง และทริกในการขับบนทะเลทราย หรือตามริมชายหาดที่มีทรายค่อนข้างนุ่ม คือ ตั้งแต่ออกตัวพยายามกดคันเร่งให้เกือบ 100% เพราะตัวรถจะไปได้แบบนุ่มๆ ลอยๆ เหมือนขับบนเส้นทางปกติ



ถ้าช่วงไหนเบาคันเร่งมากเกินไป พอเติมคันเร่ง ตัวรถจะมีอาการสะท้านหรือศัพท์ทางสายออฟโรดเรียกว่า “ล้อสับ” เพราะแรงบิดออกมาในช่วงที่ไม่เหมาะสมล้อจะมีอาการคล้ายๆ หมุนฟรีตะกุยบนพื้นทรายจนรถมีอาการสะท้าน และอย่าพยายามวิ่งเข้าไปในร่องของล้อรถคันหน้าที่ไม่เรียบ พยายามเปิดไลน์ใหม่ หรือวิ่งตามไลน์ของรถรถคันหน้าที่เรียบๆ ความสนุกสนานในการขับขี่จะบังเกิดขึ้นในทันที



ผมได้มีโอกาสได้ขับ “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” บน White Sand Dune ถึง 2 รอบด้วยกัน ได้ซึมซับสมรรถนะของตัวรถได้แบบเต็มๆ ทั้งสมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อน ระบบบังคับเลี้ยว และระบบกันสะเทือนที่ทำงานได้สอดผสานแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน



บทสรุปของทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงสายพันธุ์แกร่งในครั้งนี้  แตกต่างจากหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ทำให้เราได้ทราบถึงสมรรถนะอันโดดเด่นซึ่งถ่ายทอด DNA มาจาก Ford Performance อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งในสภาพเส้นทางที่แตกต่างกันออกไป “เรนเจอร์ แร็พแตอร์” ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับรถท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ หรือผู้ที่ชื่นชอบรถออฟโรดสมรรถนะสูงที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ สะท้อนบุคลิกของผู้ที่ครอบครองได้อย่างชัดเจน ท้ายสุดต้องขอขอบคุณ ฟอร์ด ประเทศไทย  ที่เชิญ LIFESTYLE224 ไปเปิดประสบการณ์การขับขี่สุดพิเศษแบบนี้ครับ 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้