รูปทรงเดียวกัน แต่ขุมพลังแตกต่าง ในรถยนต์วอลโว่ XC40 Recharge Plug-in Hybrid และ XC40 Recharge Pure Electric

1717 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีการเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับรถยนต์วอลโว่ ในงาน Volvo Recharge The Drive In You โดยจัดทัพรถยนต์วอลโว่ตระกูล Plug-in Hybrid ทุกรุ่นที่จำหน่าย ได้แก่ XC40, S60, V60, XC60, S90 และ XC90 อีกทั้งได้ร่วมทดสอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของวอลโว่ นั่นก็คือ XC40 Recharge Pure Electric  ซึ่งต่อไปนี้วอลโว่จะมีจำหน่ายแต่รถปลั๊กอินไฮบริด และรถไฟฟ้า ไม่มีรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปอีกแล้ว

 
สถานที่สำหรับการทดลองขับครั้งนี้ก็คือ สนามแข่งรถปทุมธานี สปีดเวย์ โดยทางผู้จัดงานให้สื่อมวลชนเลือกขับได้ 2 รุ่น ทีมงาน LIFESTYLE224.COM ก็ได้เลือกขับในรุ่น  XC40 Recharge Plug-in Hybrid นำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย และ XC40 Recharge Pure Electric นำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ มิติตัวถังรถเหมือนกัน จะมีความต่างเล็กน้อยคือกราวด์เคลียร์แลนซ์ของ EV เตี้ยกว่าหน่อย ต่างกัน 5 มม. ส่วนเรื่องราคา ระหว่าง EV กับ Plug-in Hybrid จะต่างกันประมาณ 5 แสนบาท โดย EV มีราคาอยู่ที่ 2.59 ล้านบาท ส่วน Plug-in Hybrid มีราคาเริ่มต้นที่ 2.09 ล้านบาท

 

Volvo XC40 Recharge Plug-in Hybrid

 
ขุมพลังของเจ้า XC40 Recharge Plug-in Hybrid นั้นก็คือเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร มาพร้อมเทอร์โบแบบ 3 สูบ โดยสามารถใช้น้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล์ E10

ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้านั้น XC40 Recharge Plug-in Hybrid ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน ที่มีขนาดความจุ 10.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Dual-Clutch 7 จังหวะ with Geartronic ขับเคลื่อนล้อหน้า มีกำลังสูงสุดที่ 262 แรงม้า ซึ่งมาจากเครื่องยนต์ 150 แรงม้า และมาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 82 แรงม้า 

สำหรับแรงบิดนั้นสูงสุดอยู่ที่ 425 นิวตันเมตร โดยมาจากเครื่องยนต์ 265 นิวตันเมตร และมาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 160 นิวตันเมตร อัตราเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 7.3 วินาที  ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 180 กม./ชม. สำหรับถังน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมีความจุ 49 ลิตร รวมถึงการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย 43.5 กิโลเมตร/ลิตร, การปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ 52 กรัม/กม. 

มิติตัวถังนั้นรุ่น Plug-in Hybrid และรุ่น EV จะเหมือนกันคือ ยาว 4,425 มม. x กว้าง 1,863 มม. x สูง 1,652 มม. ความยาวฐานล้อ 2,702 มม. และความกว้างช่วงล้อหน้า 1,601 มม. / หลัง 1,626 มม. ส่วนรุ่น EV จะมีความต่างอยู่เล็กน้อยคือสูงจะลดลงมาเหลือ 1,647 มม. ต่างกันประมาณ 5 มม.

 



Volvo XC40 Recharge Pure Electric



มากันที่รุ่น XC40 Recharge Pure Electric ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จากมอเตอร์ 2 ตัว แบตเตอรี่ที่ใช้คือลิเธียมไออนขนาด 78 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จไฟจาก 0-100% ได้ในเวลาเพียง 6-8 ชั่วโมง (Wall-Box EV Changer) และสามารถชาร์จแบบเร็วได้ในเวลาเพียง 40 นาที และเมื่อชาร์จเต็ม 100% จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP) โดยจะให้กำลังสูงสุดที่ 480 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร รถคันนี้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.9 วินาที  และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 180 กม./ชม.


รูปลักษณ์ภายนอก



ด้านหน้า
กระจังหน้าปิดทึบ ไม่มีช่องระบายความร้อน เพราะมันเป็นรถไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ไม่มีเครื่องยนต์แล้ว แต่ก็ไม่ปิดสนิทเสียที่เดียว ยังมีช่องว่างด้านล่างนิดหน่อย สีของกระจังหน้าจะเป็นสีเดียวกับตัวถัง มีโลโก้วอลโว่ด้านหน้าพร้อมกับฝังกล้องหน้ามาให้ด้วย

 

ไฟหน้า
ไฟหน้าเป็นเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ รูปทรงเอกลักษณ์ของวอลโว่ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขวานเทพเจ้าธอร์ ส่วนไฟใหญ่ข้างในเป็น LED แอค​ทีฟ ปรับองศาตามการเลี้ยวของพวงมาลัย และปรับระดับสูง-ต่ำแบบอัตโนมัติ ถัดลงมาจะเป็นไฟตัดหมอก

 



ใต้ฝากระโปรงหน้า
ด้วยความที่เป็นรถไฟฟ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีเครื่องยนต์  สามารถเปิดฝากระโปรงหน้าได้ ต่างจากรถไฟฟ้าบางยี้ห้อที่ไม่ให้เปิด ใต้ฝากระหน้าของเจ้าคันนี้  ถูกออกแบบมาเป็นที่เก็บสัมภาระที่มีความจุได้เยอะพอสมควร

 
ตัวถัง
ตัวถังด้านข้างมีลายเส้นที่สวยงาม กรจกด้านข้างเป็นสีดำ ตัดกับสีตัวรถ ที่เปิดประตูเป็นระบบคีย์เลส (keyless) มีเซ็นเซอร์ให้ทั้ง 4 บาน สามารถที่จะล็อค หรือปลดล็อดได้ทั้ง 4 ประตูเลย ถือว่าสะดวกมาก

 


ล้อ
ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว สีดำเงา 5 ก้าน แบบ BLACK DIAMOND CUT  ขนาดล้อคู่หน้ากับคู่หลังไม่เท่ากัน ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับแรงบิดจากมอเตอร์ทั้งสองตัว ขนาดยางคู่หน้า   235/50 R19 ขนาดยางคู่หลัง    255/45/R19

 

ด้านหลัง
ดีไซน์ยังคงมีเอกลักษณ์ของวอลโว่ได้อย่างชัดเจน ไฟท้ายเป็น LED รูปทรงตัวL ซ้ายมือจะเป็นแผ่นป้ายชื่อรุ่น XC40 ด้านขวาจะเป็นแผ่นป้าย Recharge Twin บ่งบอกถึงความเป็นรถไฟฟ้า กันชนท้ายมาเต็มฝังไฟทับทิม แน่นอนว่าเจ้าคันนี้ไม่มีท่อไอเสีย ประตูหลังคลิกเซ็นเซอร์ได้ เปิดออกมาจะเจอที่เก็บสัมภาระด้านท้ายค่อนข้างกว้าง และยังสามารถบับเบาะคู่หลังราบเรียบไปเป็นพื้นเดียวกันได้แบบ 60-40 ซึ่งพับง่าย อาจจะต้องหนักมือสักนิด แต่นั่นก็คือสไตล์ของวอลโว่ ที่แสดงถึงความแข็งแรงทนทาน
 

หลังคา
การออกแบบตัวถังเป็นสีทูโทน หลังคาสีดำ มีแร็คหลังคามาให้ด้วย หลังพานอรามิคซันรู๊ป กระจกเต็มบาน  ทว่าม่านบังแดดไม่หนามากอาจจะไม่เหมาะกับแสงแดดร้อนจ้าของเมืองไทย ทำให้ห้องโดยสารร้อน หากซื้อมาใช้คงต้องแก้ไขโดยการไปติดฟิล์มกันแสงเพิ่ม


ภายใน


ห้องโดยสารด้านหน้า
เรียบหรู ดูดีมีสไตล์แบบวอลโว่ ที่ไม่ได้มีปุ่มอะไรมากมาย วัสดุที่ใช้ค่อนข้างดี  ดีไซน์ทันสมัย แผงข้างประตูบุด้วยวัสดุแบบรีไซด์เคิล ตามคอนเซ็ปต์รักธรรมชาติ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม  

จอกลางแนวตั้ง Touchscreen ขนาด 9 นิ้ว ระบบ Android Automotive OS  ฟังก์ชั่นสั่งงานด้วยเสียง Hey Google ระบบนำทาง Navigation System สามารถรองรับ Apple Car Play และAndriod Auto มีระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth

ส่วนจอมาตรวัตเป็นดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว แสดงค่าต่างๆ ทริปมิเตอร์ อัตราการบริโภคพลังงาน นอกจากนี้ยังมีแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charging

ระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Quantum Logic จาก Harman Kardon Amplifier 600 วัตต์ ลำโพง 13 ตำแหน่ง พร้อม SubWoofer ให้คุณภาพเสียงที่เยี่ยมมาก ต้องขอชม

 

พวงมาลัย
พวงมาลัยหุ้มหนัง แบบสปอต 3 ก้าน มัลติฟังชั่น ปรับแบบแมนนวลได้ 4 ทิศทาง ด้านซ้ายมีปุ้มอแดปทีพ ครูซคอนโทรล ใช้งานง่าย ฝั่งขวาเรียกดูข้อมูลต่าง และเพิ่ม-ลดเสียง เปลี่ยนช่องวิทยุ

เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังกลับเดินตะเข็บเทา รองรับรับสรีระโอบกระชับดีมาก ทำให้การขับขี่สบาย เบาะคนขับปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบบันทึกตำแหน่งMemory Seat ทั้งตำแหน่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า มีระบบปรับดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support 4 ทิศทาง

 

ห้องโดยสารด้านหลัง
เบาะโดยสารด้านหลังอาจจะนั่งไม่ค่อยสบายนัก พนักเบาะมีความตั้งชัน แต่นั่นมันก็คือการออกแบบให้มีความเป็นสปอตของเจ้าคันนี้  มีช่องแอร์ให้สองช่อง แต่ไม่สามารถประดับแรงลมและอุณหภูมิได้ แยกอิสระซ้ายขวา  มีช่องเสียบ USB c มาให้ 2 ช่อง

 

อุปกรณ์ความปลอดภัยติดตั้งมาให้มา

-ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS

-ระบบกระจายแรงเบรก EBD

-ระบบเสริมแรงเบรก BA

-ระบบช่วยในการขึ้นที่ลาดชัน Hill Start Assist

-ระบบช่วยในการลงที่ลาดชัน Hill Descent Control

-กล้องมองภาพขณะถอยจอด

-เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า – ด้านหลัง

-ระบบป้องกันเมื่อเกิดการวิ่งตกถนน Run-Off Protection

-ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง

-ถุงลมนิรภัยหัวเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง

-ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง

-ม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง

-ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Pilot Assist

-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control

-ฟังก์ชั่นหยุด / ออกตัวรถโดยอัตโนมัติ Queue Assist

-ระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ และ หลัง Whiplash Protection System

-ระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง Side Impact Protection System

-ระบบป้องกันการชน City Safety พร้อมเซนเซอร์ตรวจจับรถ คนเดินถนน จักรยาน และ สัตว์ใหญ่ พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ Full Auto Brake

-ระบบป้องกันการชน Collision Avoidance & Mitigation Support พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ Auto Brake

-ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Information System

-ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Cross Traffic Alert พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ Auto Brake

-ระบบแจ้งเตือนเพื่อให้เว้นระยะห่างจากคันหน้า Distance Alert

-ระบบเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถออกนอกช่องจราจร Lane Keeping Aid

-ระบบควบคุมการทรงตัว และ ยึดเกาะถนน DSTC

-ระบบควบคุมการโคลง Advanced Stability Control

-ระบบควบคุม และ ป้องกันการโคลงของรถ Roll Stability Control

-ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ (แบบขนาน-เข้าซอง) Park Assist Pilot

-กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา

 

ทดลองขับ

 

ในการทดลองขับครั้งนี้ ผู้จัดงานให้สื่อมวลชนเลือกขับได้ 2 รุ่น ทีมงาน LIFESTYLE224.COM ก็ได้เลือกขับในรุ่น XC40 Plug-in Hybrid  และ XC40 Recharge Pure Electric  ขับคนละ 3 รอบ

 

XC40 Plug-in Hybrid 
เราได้เริ่มที่รุ่น XC40 Plug-in Hybrid  รอบแรกก็เป็นการขับดูสนามก่อนว่าแต่ละสถานีที่จำลองขึ้นมา ต้องขับอย่างไรบ้าง และลองรถให้เข้ามือกันก่อน เพื่อดูความคมของพวงมาลัยว่าต้องหักเลี้ยวมากเพียงใด คันเร่งไฟฟ้าต้องเหยียบประมาณไหน  

รอบที่สองก็ได้ขับทดสอบโดยใช้ความเร็วตามที่เขากำหนดให้ เริ่มที่สถานีสลาลมใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 60 ซิกแซกซ้ายขวา  XC40 Plug-in Hybrid  มีเสียงเครื่องยนต์คำรามช่วงออกตัวยังมีความรู้สึกว่าขับรถเครื่องยนต์อยู่ พอปลายๆ เริ่มเบาลงมีระบบไฟฟ้าเข้ามาแทน ในความเร็วที่เขากำหนดให้ขับกับจังหวะหักหลบไพลอนซ้ายขวา พวงมาลัยมีความคม และแม่นยำมาก การทรงตัวก็ถือว่าดี ซึ่งก็เป็นสไตล์การขับขี้ของวอลโว่อยู่แล้ว



XC40 Recharge Pure Electric 
สัมผัสแรกที่ขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยของเจ้าคันนี้ มือจับที่พวงมาลัยจะรู้สึกว่าหนักอยู่ เพราะระบบยังไม่ทำงาน เราต้องเหยียบเบรกและเข้าเกียร์ DหรือจะR  จะบบก็จะทำงาน พร้อมให้เหยียบคันเร่งขับเคลื่อนออกไป

XC40 Recharge Pure Electric เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จากมอเตอร์ 2 ตัว มอเตอร์หน้าก็มีหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า มอเตอร์หลังก็มีหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ออกตัวใช้คู่หน้า ถ้าเต็มที่ก็ทำงานทั้งคู่ ในการทดลองขับสลาลม สเถียรภาพการทรงตัวค่อนข้างดี พวงมาลัยมีความแม่นยำมาก



 



XC40 Plug-in Hybrid 
สถานีทดสอบอัตราเร่ง ในความเร็วระยะทางที่ทีมงานกำหนดให้จากจุดสตาร์ท กดคันเร่งเต็มที่ถึงจุดระยะที่กำหนด ความเร็วที่ได้คือ 92 ในเวลา 9-10 วินาที ช่วงแรกมีรอรอบนิดหน่อย

ส่วนรุ่น EV กดคันเร่งมิด รถก็พุ่งทะยานออกไปทันทีให้แรงบิดแบบไม่ต้องรอรอบ เรียกว่าดึงหลังติดเบาะ คนที่ไม่คุณชินกับแรง G ขนาดนี้ มีปรี๊ดขึ้นหัวมึนกันเลยที่เดียว ความเร็วทะลุ 100 ในเวลาเพียง 4 -5 วินาที

 

กระทืบเบรก และหักหลบแบบกระทันหัน
มาถึงสถานี ทดสอบเบรกแบบกระทันและหักหลบในขณะที่เท้าเรายังเหยียบแป้นเบรกอยู่ โดยไม่ถอน แล้วหักหลบสิ่งกีดขว้าง ในรุ่นปลั๊กอินนั้นก็ทำได้ดีสามารถผ่านจุดนี้ไปได้โดยรถไม่เสียอาการใดๆ แต่ด้วยความที่เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าก็จะมีหน้าดึงนิดๆ

ส่วนEV นั้นแม้จะมีความแรงกว่ามาก แต่มีระยะเบรกที่สั้นมาก เรียกว่าแรงได้เบรกก็ดีด้วย ซึ่งการทำงานของเบรกของรุ่นนี้ ไม่ได้เบรกด้วยระบบเบรกเพียงอย่างเดียว มันจะมีมอเตอร์มาช่วยหน่วงด้วย จึงกลายเป็นสองแรงช่วยกันเบรก และด้วยความที่เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ การกระทืบเบรกและหักหลบในเวลาเดียวกัน หน้าไม่ดึง สเถียรภาพในการทรงตัวดี ระยะเบรกสั้น สถานีนี้รุ่น EV ทำได้ดีกว่ารุ่นปลั๊กอิน  

 


 

ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Pilot Assist และระบบ Adaptive Cruise Control
มาถึงช่วงลองใช้ระบบ Pilot Assist เพียงเรากดปุ่มที่บนพวงมาลัยด้านซ้าย สัญลักษณ์รูปพวงมาลัยจะโชว์ที่มาตรวัด ระบบก็จะช่วยเราคอนโทรลให้รถวิ่งอยู่ในช่องทาง แต่เรายังต้องช่วยประคองพวงมาลัยอยู่ด้วย มันจะแค่ช่วยดึงกลับเบาๆ เหมือนประคองให้เราอยู่ในเลน แต่ถ้าเราไม่ยอมมันก็ปลอยเราควบคุมเอง หากเราปล่อยไปโดยไม่มีการตอบสนองพวงมาลัยบ้าง ก็จะมีเสียงเตือน  และก็ได้ลอง ระบบ Adaptive Cruise Control ไปพร้อมๆ กันด้วย ระบบจะตรวจจับรถยนต์คันข้างหน้าว่าขับขี่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ หากเราขับเร็วกว่าและรถของเราจวนใกล้จะถึงท้ายรถคันหน้า ระบบจะทำการลดความเร็วรถของเราให้เหลือเท่ารถคันหน้า และขับตามกันไป

 



เลนเชนจ์ เปลี่ยนเลนกะทันหัน
สำหรับการทดสอบสถานีสุดท้าย ก็เป็นการขับใช้ความเร็วไม่เกิน 60 แล้วเปลี่ยนช่องทางแบบกระทันหันโดยไม่แตะเบรก เพื่อทดสอบการยึดเกาะและความคล่องตัวของรถ รุ่นปลั๊กอินก็ทำได้ดีที่เดียว แถบจะไม่มีอาการเสียการทรงตัวแต่อย่างไร ทว่าเจ้า EV ทำได้ยอดเยี่ยมกว่า มีควาบกระชับ ช่วงล่างเกาะถนนหนึบมาก เรียกว่าไปเป็นก้อน ไม่เสียการทรงตัวเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่า ตัว EV ไม่มีเครื่องยนต์ที่อาจทำให้เสียความสมดุล การวางตำแหน่งมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้รถมีความบารานซ์กัน อีกทั้งมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ การหักหลบแบบกระทันหันแบบนี้ทำให้มีความหนึบ กระชับ ทำให้ผู้ขับขี่มีความหมั่นใจมาก


แม้ว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ รูปทรงภายนอกเหมือนกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างในเรื่องของขุมพลัง สมรรถนะการขับขี่ และราคา ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ซื้อว่าพอใจในราคาที่คันไหน และความพร้อมในเรื่องของการชาร์จพลังงาน เป็นสองทางเลือกที่แตกต่าง ขึ้นอยู่กับความเหมาะแล้วล่ะครับ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้