Next Gen Ford Ranger หน้าตาหล่อเหลา..เด็ดที่ระบบขับเคลื่อน

1989 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บริษัท ฟอร์ด ประเทศไทยจำกัด ได้เชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์เข้าร่วมการทดสอบรถกระบะสายพันธุ์แกร่งรุ่นใหม่ล่าสุด Next Gen Ford Ranger หลังจากเปิดตัวในงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล ไปเมื่อช่วงเดือน มีนาคมที่ผ่านมา โดยงานนี้ ทางฟอร์ด ได้เลือกสถานที่การทดสอบอยู่ที่จังหวัด ภูเก็ต-พังงา-กระบี่

มาพร้อมกัน 2 รุ่น Weldtrak และ Sport
Next Gen Ranger เปิดตัวมาพร้อมกันทีเดียว 2 รุ่น ประกอบด้วย Sport และ Weldtrak รูปลักษณ์ภายนอกคร่าวๆ มีความใกล้เคียงกัน โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าแบบ Maverickk StyleC-Clamp LED 3 ชั้น พร้อม Daytime Running Light(รุ่น Sport) ส่วนรุ่น Weldtrak จะมาพร้อมกับไฟหน้าแบบ Performance LED โปรเจ็คเตอร์ 2 ดวง(แยกไฟสูงต่ำ) ไฟสูงแบบ Auto High Beam ที่จะสว่างขึ้นแบบ Dimmer ไม่ได้สว่างพรึบขึ้นมาทีเดียว ชุดกระจังหน้า ออกแบบให้ดูมีมิติ และสอดรับกับชุดไฟหน้า และเชื่อมต่อพาดยาวลงมายันชายล่างของกันหน้า



เส้นสายด้านข้างเน้นความเรียบหรู แต่ดุดันกับ โป่งหน้า และโป่งหลัง พร้อมคิ้วพลาสติกสีดำ รุ่น Weldtrak ติดตั้ง Roof Rack บนหลังคา พร้อมกับ Sport Bar ที่ขอบกระบะหลัง ดีไซน์ทางด้านท้ายสวยงามกับฝาท้ายที่ออกแบบให้รอยหยักคล้ายๆ สปอยเลอร์ติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED มาให้เรียบร้อย ด้านล่างปั๊มคำว่า RANGER บ่งบอกเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ไฟท้ายแบบ LED ทั้ง 2 รุ่น แต่รุ่น Weldtrak เลย์เอ้าท์ด้านในจะดูสวยกว่ารุ่น Sport กันชนท้ายมีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้ง 2 รุ่น Next Gen Ranger รอบนี้ทีมงานวิศรกรออกแบบได้เอาใจใส่ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นกับการดีไซน์บันไดข้างทั้ง 2 ฝั่ง(Rear Box Side Step) บริเวณมุมขอบกระบะท้าย ขึ้น-ลง หยิบสัมภาระในกระบะท้ายได้อย่างสะดวก


ล้อแม็กทั้งรุ่น Sport และ Weldtrak จะเป็นขนาด 7.5x18 นิ้ว ทั้ง 2 รุ่น ต่างลายกัน รัดไว้ด้วยยางยี่ห้อ GOOD YEAR รุ่น Wrangler Territory HT ไซส์ 255/65 R 18 ทั้ง 2 รุ่น

 

จออินโฟเทนเม้นท์ 12 นิ้ว ซ่อนฟังก์ชั่นไว้เพียบในรุ่น Weldtrak
Next Gen Ranger ได้รับการออกแบบห้องโดยสารใหม่ทั้งหมด คอนโซลหน้าเรียบๆ โดดเด่นที่จอเรือนไมล์ LED ขนาด 8 นิ้ว (แสดงผลการทำงานต่างๆ ของตัวรถไว้เพียบ โดยสั่งงานเพียบปลายนิ้ว ผ่านสวิทช์บนพวงมาลัย พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่น และครูสคอนโทรล พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง


ในรุ่น Weldtrak โดดเด่นกับจอ อินโฟเทนเมนท์ LED ทัชสกรีน ขนาด 12 นิ้ว (รุ่นSport 10.1นิ้ว) ซึ่งภายในซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ของตัวรถไว้เพียบ นอกจากเครื่องเสียงแล้ว ยังสามารถสั่งงานระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลได้ด้วย กล้อง 360 องศารอบคัน ระบบเครื่องเสียง แสดงแผนที่จาก Google Map เมื่อมีการเชื่อมต่อกับมือถือผ่านระบบ SYNC4 A , Ford Pass และยังซ่อนฟังก์ชั่นของระบบขับเคลื่อนไว้อาทิ HDC ระบบช่วยลงทางลาดชัน, Rear Diff Lock แสดงกราฟฟิคของระบบขับเคลื่อน และมีวัดองศาของตัวรถ(แลนด์มิเตอร์)



คันเกียร์ของรุ่น Sport และ Weldtrak ยังคล้าย T6 รุ่นเดิมที่มีปุ่ม Select Shift มาให้ ด้านหน้าคันเกียร์ในรุ่น Weidtrak มีแท่นชาร์จมือถือแบบไร้สายมาให้ ปุ่มปรับระบบขับเคลื่อนรอบนี้มาแบบ E-Shifter&Selectable Drive Modes ใกล้ๆ กันจะมีปุ่ม ปิดเสียงของ Parking Sensor, ปิด Traction Control และปุ่ม Shotcut Off Road

 


เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบให้นั่งได้สบายขึ้นกว่ารุ่นเดิม Weldtrakได้ปรับไฟฟ้าฝั่งคนขับแบบ 6 ทิศทาง(รุ่นเดิม 8 ทิศทาง) ส่วนฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เข็มขัดนิรภัยไม่สามารถปรับสไลด์ให้เหมาะกับสรีระของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้าได้(รุ่นเดิมมีให้) เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลังนั่งสบายขึ้นแม้พื้นที่จะเท่ากับรุ่นเดิม


Weldtrak 210 ม้า Sport 170 ม้า ขับสนุกกว่าเดิม
ทางด้านขุมพลังของ Next Gen Ranger จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 2.0 ลิตร 16 วาล์ว โดยในรุ่น Weldtrak จะมาพร้อมกับระบบอัดอากาศแบบ Bi-Turbo ส่วนรุ่น Sport จะเป็นเทอร์โบเดี่ยว ซึ่งมีการอัพเกรด และปรับปรุงภายในเครื่องยนต์หลายๆ จุด ให้มีประสิทธิภาพการงานที่ทนทานขึ้น และแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในรุ่นก่อนหน้านี้ ส่งผลให้รุ่น Weldtrak รอบนี้มีแรงม้า 210 ตัว(ลดลงจากรุ่นเดิม 3 ตัว)ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดยังเท่าเดิมที่ 500 นิวตัน-ม ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที รุ่น Sport 170 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 405 นิวตัน-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ 1,750-2,500 รอบต่อนาที


รุ่น Weldtrak มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ รหัส 10R8 ส่วนรุ่น Sport คราวนี้ไม่ได้เกียร์ 10 จังหวะ แต่จะได้เกียร์ 6 จังหวะ รหัส 6R80 จากเครื่อง 2.2 ลิตร ในรุ่น T6 ตัวแรก มาใช้งานแทน ซึ่งทางวิศกรของฟอร์ดได้ให้เหตุผลในเรื่องของการเข้าถึงของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเครื่องบล็อกเล็ก ขับสนุก ให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่องสอดรับกับพละกำลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเดี่ยว และตบท้ายด้วยเรื่องของราคานั่นเอง

อ๋อ..สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือ ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ จากเดิมใช้ พัดลมฟรีปั๊มหน้าเครื่อง รอบนี้เปลี่ยนมาใช้พัดลมไฟฟ้าขนาดใหญ่ตัวเดียว ทำให้พื้นที่ระหว่างเครื่องยนต์กับหม้อน้ำมีเพิ่มขึ้น ความร้อนสะสมในห้องเครื่องสามารถระบายออกได้ดีกว่าเดิม ตำแหน่งอินเตอร์คูลเลอร์ก็ย้ายลงไปอยู่ด้านล่าง(ของเดิมอยู่ด้านบน) ทำให้การระบายความร้อนของระบบ ปรับอากาศ และเครื่องยนต์ทำได้ดียิ่งขึ้น

แชสซีส์ปรับใหม่ ยืดท่อนหัว 50 มม. ช่วงล่างใหม่ นุ่มขึ้น
ในด้านของแชสซีส์ Next Gen Ranger นั่น ทางวิศกรบอกว่าได้ใช้พื้นฐานของ T6 แต่มาปรับขนาด ทั้งการยืดช่วงฐานล้อด้านหน้าให้ยาวขึ้นไปอีก 50 มม. ซึ่งจะส่งผลให้การบาล้านซ์น้ำหนักตัวรถดีขึ้น รวมไปถึงการดามแชสซีส์เพิ่มความแข็งแรงในจุดต่างๆ เพิ่มขึ้น แถมบริเวณจุดติดตั้งตัวกันกระแทกของแผ่นแหนบนั่น ได้สร้างจุดยึดแบบเต้ารับเพิ่มขึ้นมา(ของเดิมจะแปะกับแชสซีส์)

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ตัวปีกนก และคอม้า ออกแบบใหม่ เปลี่ยนมุมองศาจากของเดิมอีกเล็กน้อย ตำแหน่งยึดแร็คพวงมาลัยจะอยู่บริเวณคานหน้าเครื่อง ส่วนทางด้านหลังขยับจุดยึดแผ่นแหนบใหม่ รวมไปถึงย้ายตำแหน่งของจุดยึดช็อคอัพของเดิมหูยึดด้านบนจะอยู่ด้านในแชสซีส์ ส่วนตัวใหม่จะย้ายจุดยึดมาอยู่ด้านนอกของแชสซีส์ ทำให้มุมสวิงของช็อคอัพมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการจัดวางตำแหน่งช็อคอัพแบบไขว์ ส่งผลให้ช่วยรั้งเพลาไม่ให้เส ขยับตัวไปมา

ตัวช็อคอัพเปลี่ยนใหม่ทั้ง 4 ต้นมาใช้แบบ Mono Tube ที่ให้ความนุ่มนวลในการทำงานซัพแรงสั่นสะเทือน และระบายความร้อนของน้ำมัน และแก๊สภายในระบบได้ดียิ่งขึ้น คอยล์สปริงหน้าปรับค่าความแข็งของสปริงใหม่ เช่นเดียวกับแผ่นแหนบก็มีการปรับค่าความแข็งใหม่

ความสูงของตัวรถจากใต้ท้องรถถึงพื้นยังเท่าเดิมที่ 200 มม. มุมปะทะด้านหน้าอยู่ที่ 30 องศา และมุมจาก 25.6 องศา ตัวรถยังสามารถลุยน้ำลึกได้ 800 มม. ได้เหมือนเดิม



ระบบเบรคของตัว Weldtrak มีการปรับใหม่แบบยกยวง โดยระบบหม้อลมเบรคถูกยกออก แล้วแทนด้วย E-Booster เข้ามาแทน ทำให้เบรคได้อย่างนุ่มนวล คอนโทรลได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ดับก็ยังสามารถคอนโทรลเพื่อเบรครถให้หยุดสนิทด้วยความปลอดภัย ระบบเบรคทางด้านหน้าเป็นดิสค์เบรค จานเบรคมีครีบระบายความร้อนที่สันจานขนาด 340 มม. คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบคู่ ส่วนทางด้านหลังเลือกใช้ดิสค์เบรค ที่มีครีบระบายความร้อนที่สันจานมาให้ พร้อมคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยวสไลต์

ในส่วนของรุ่น Sport จะใช้ระบบเบรคแบบ หน้าดิสค์-หลังดรัม เหมือนรุ่นเดิม แต่มีการปรับเซ็ทเรื่องของ ผ้าเบรก การกระจายแรงดันน้ำมันเบรคไปยังล้อทั้ง 4 ได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

Terrain Mode รอบนี้เด็ดขาดจริงๆ
เราได้มีโอกาสทดลองขับตัว Sport ในช่วงระหว่างเดิมทางไปยัง Ranger Ville ซึ่งเป็นสถานที่ทดสอบสมรรถนะของ Next Gen Ranger นั่น สิ่งแรกที่พบเมื่อขึ้นไปนั่งในตำแหน่งของผู้ขับขี่ ทัศนวิสัยการขับขี่ดูเหมือนจะโปร่งตา แต่กลับพบมุมอับบริเวณเสา A-Pillar ฝั่งคนขับ ส่งผลให้ขณะเข้าโค้งแคบๆ หรือจะเลี้ยวออกจากซอยมันมุมมองไปพอสมควร การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่าดี แต่ยังแอบมีเสียงของยางที่เล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินพอควร


น้ำหนักของพวงมาลัยวิ่งด้วยความเร็วต่ำๆ ถือว่าดีกว่ารุ่นเดิม พอความเร็วสูงๆ น้ำหนักแปรผันให้ตึงมือขึ้นอีกนิด อัตราทดฉับไวในระดับที่รับได้ สมรรถนะของอัตราเร่งจากเครื่องยนต์เทอร์โบเดี่ยว ถือว่ามีเรี่ยวแรงให้ใช้งานได้ดี เรียกเมื่อไหร่ก็มา การจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ กลายเป็นลงตัว แฮนด์ลิ่งของช่วงล่างด้านหน้าหากขับเร็วๆ มีติดอันเดอร์สเตียร์อยู่บ้างแต่คุมง่ายเพียงแตะเบรคเบาๆ เพื่อถ่ายน้ำหนักรถมาด้านหน้าเพิ่มอีกนิดก็เลี้ยวได้ตามใจต้องการ ช่วงล่างด้านหลังนุ่มนั่งสบาย ประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าดีขึ้นกว่าตัวเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน


เมื่อมาถึง Ranger Ville เราก็เปลี่ยนมาลองตัว Weldtrak ในสนามทดสอบที่เนรมิต เหมืองหินเก่าให้เป็นสนามทดสอบชั้นเลิศ กับสภาพเส้นทางที่เป็นทั้งทางหินกรวด ลุยน้ำ วกเข้าสวนปาล์ม กับภูมิอากาศที่ฝนตกดินเป็นหนังหมูเบาๆ ในทุกสภาพเส้นทางการทดสอบ Next Gen Ranger สามารถผ่านอุปสรรค์ไปได้สบายๆ ทั้งๆ ที่ใช้งานแบบ HT ส่วนนึงเกิดมาจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่พ่วงระบบ Terrain Mode ที่คอยปรับเปลี่ยนกระจายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 ได้อย่างเหมาะสม ตามโหมดที่คนขับเป็นผู้เลือก ซึ่งความฉลาดนี้สามารถปรับเปลี่ยนจาก 4Low กลับมาเป็น 4Hi ให้เอง แถมบางโหมดใส่ Rear Diff Lock บางโหมดปิด Traction Control ให้เองอีกต่างหาก ตรงนี้เองที่ทำให้เราสามารถขับผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ได้อย่างๆ สบายๆ

บทสรุปของการทดสอบ Next Gen Ford Ranger จัดว่าเป็นกระบะที่เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะในการขับเคลื่อน, ความไฮเทคของระบบหน้าจออินโฟเทนเมนต์ รูปลักษณ์หน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความปลอดภัยที่เพียบพร้อม แต่กลับมาเสียด้วยเรื่องของการเซอร์วิสในรุ่นก่อนหน้านี้ หวังว่าตัวใหม่จะกู้ชื่อเสียงดีๆ กลับมาให้กับฟอร์ดอีกครั้ง และด้วยราคาที่เปลี่ยนไปจากตัวเดิมไปมากนัก สาวกฟอร์ดถูกใจสิ่งนี้แน่นอน สนใจทดลองขับได้แล้วที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้