ทดสอบ ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี ใหม่ สปอร์ตพรีเมียมซีดานที่มาพร้อมระบบฟูลไฮบริด e:HEV และ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย

1642 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หลังจากที่ทางฮอนด้าได้เปิดตัว ซีวิค ใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 11 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ให้พละกำลังถึง 178 แรงม้า มาสักพักใหญ่ ก็ได้เวลาที่จะเพิ่มตัวเลือกโดยมีขุมพลัง e:HEV ขับเคลื่อนแบบฟูลไฮบริด ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 2 ตัว เน้นการขับขี่ที่สนุก ประหยัดเชื้อเพลิง และมีมลพิษต่ำ โดยทางผู้สื่อข่าวจะได้ทดลองขับกันตามเส้นทางจากตัวเมืองเชียงราย สู่ อ.เชียงแสน รวมระยะทางไป-กลับกว่า 140 กิโลเมตร เราจะมาเล่ารายละเอียดในจุดต่างๆ ของตัวรถ รวมถึงความรู้สึกที่ได้จากการทดลองขับรถรุ่นนี้กัน โดยในรุ่น e:HEV จะมี 2 รุ่นย่อยด้วยกัน คือ RS และ EL+ ซึ่งการทดลองขับในครั้งนี้จะได้ขับเพียงรุ่น RS ตัวทอพเท่านั้น

สัมผัสแรกกับรูปลักษณ์ภายนอกที่มีความเรียบง่ายแฝงไว้ด้วยความสปอร์ตหรู เน้นความเป็นไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย กระจังหน้าและกันชนหน้าสไตล์สปอร์ต ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟท้ายแบบ LED เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วสีใหม่ ส่วนในรุ่น e:HEV RS จะติดตั้งสปอยเลอร์หลังสีดำพร้อมสัญลักษณ์ RS ที่ด้านท้าย ท่อไอเสียพร้อมปลอกท่อไอเสีย และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว


ภายในห้องโดยสารมีความกว้างขวาง มาพร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกล้ำสมัย 


 

มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว, ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto



ส่วนในรุ่น RS ห้องโดยสารตกแต่งในสไตล์สปอร์ตพรีเมียม เบาะนั่งด้านหลังแยกพับแบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ พร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกล้ำสมัยและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน อาทิ ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสารครั้งแรกในฮอนด้า ซีวิค ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา ช่องปรับอากาศและช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อรถยนต์ที่ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน เป็นต้น

ขุมพลังขับเคลื่อนแบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E- CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบกำลังมอเตอร์สูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000 - 6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ที่ 0 - 2,000 รอบต่อนาที ตามที่ทางฮอนด้าได้ทดสอบไว้แจ้งข้อมูลว่าอัตราการประหยัดน้ำมันถึง 25 กิโลเมตร/ลิตรและมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 96 กรัม/กิโลเมตร

ทั้งนี้ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด เหมาะสมกับการขับขี่ในทุกสถานการณ์ใน 3 โหมด ได้แก่โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยมาพร้อมกับสวิตซ์ฟังก์ชัน Drive Mode โดยที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ตามสไตล์ได้อย่างง่ายดาย ได้แก่โหมดการขับขี่แบบประหยัด (ECON Mode) โหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) และ โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode)


ส่วนเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้าช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการทำงานหลัก ๆ ดังนี้

  ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)

  ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)

  ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

  ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning:RDM with LDW)

  ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

  ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยล้ำสมัย อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda Lane Watch) ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rea view Camera) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และระบบ Auto Brake Hold ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง (Front Passenger and Rear Seat Belt Reminder) และไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder) ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) เสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS) และอุปกรณ์อุดการรั่วซึมของยางชั่วคราว เป็นต้น



ทดลองขับ ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี อาร์เอส รุ่นทอพ บนเส้นทางจากตัวเมืองเชียงราย – อ.เชียงแสน    

หลังจากที่ได้รับฟังคำบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถเป็นที่เรียบร้อย เราก็พร้อมจะออกเดินทางมุ่งสู่ อ.เชียงแสน เป็นระยะทางประมาณ 70 กม. มีทางโล่งๆ ให้ลองใช้ความเร็วและมีโค้งวัดประสิทธิภาพของระบบรองรับ, ระบบห้ามล้อ, การเก็บเสียงรบกวนที่ระดับความเร็วต่างๆ ,การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ฯลฯ

ผมเป็นผู้ขับไม้แรก หลังจากปรับตำแหน่งที่นั่งเรียบร้อย เราก็เริ่มออกเดินทางกัน ช่วงแรกจะวิ่งในเมืองที่มีการจราจรค่อนข้างหนาแน่นบ้างในบางช่วง ทัศนวิสัยรอบคันทำได้ดี ตัวรถมีพื้นที่กระจกค่อนข้างเยอะ คงต้องติดฟิล์มกรองแสงคุณภาพดีช่วยลดความร้อน การขับขี่ในวันนั้นแสงแดดจัดจ้าน อากาศร้อนมาก ต้องขอชมประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ให้ความเย็นสบายตลอดการเดินทาง


ตัวรถจะมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่ารุ่น 1.5 เทอร์โบอยู่ 10 มม. และรุ่นไฮบริด ซึ่งมีส่วนของแบทเตอรี มอเตอร์ ตัวควบคุม ฯลฯ มีส่วนทำให้มีน้ำหนักมากกว่ารุ่น 1.5 เทอร์โบอยู่ราว 100 กก. ส่วนระบบรองรับเป็นระบบเดียวกันได้รับการปรับเซทค่าเคของสปริงรวมทั้งแดมเพอร์ใหม่ เพื่อรองรับกับพละกำลังและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

อัตราเร่งทำได้ดีมากๆ ช่วง 0-100 กม./ชม. น่าจะใช้เวลาราว 7-8 วินาที เท่านั้นเอง ต่ำกว่า 10 วินาทีอย่างแน่นอน ในช่วงออกตัวจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ทำให้ไม่มีอาการรอรอบ ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในอารมณ์ที่คล้ายกับการขับรถไฟฟ้า EV เหมาะกับการใช้งานในเมือง จนกว่าจะใช้ความเร็วระดับปานกลางหรือมีการเร่งแซง เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานเพื่อปั่นไฟเข้าสู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อนล้อหรือเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบทเตอรี ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ล้วนๆ และในขณะลดความเร็วระบบจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดจากการลดความเร็วให้เป็นพลังงานไฟฟ้าและชาร์จกลับไปที่แบทเตอรี



ต้องขอชมในส่วนของเครื่องยนต์ที่ตอบสนองการทำงานได้รวดเร็ว อัตราเร่งดีมากๆ ตั้งแต่การออกตัวไปจนถึงความเร็วสูง การตัดต่อกำลังระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำได้อย่างราบรื่น นุ่มนวลทีเดียว กดคันเร่งแป๊ปเดียวเข็มความเร็วตีขึ้นมาที่ 140-150 กม./ชม. โดยไม่รู้ตัว รถนิ่งและเงียบมาก การเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีจนถึงระดับความเร็ว 120-130 กม./ชม. จึงเริ่มจะได้ยินเสียงลมเข้ามาในห้องโดยสาร ถือว่าหัวข้อนี้ทำได้ดี ประกอบกับการเป็นรถไฮบริดทำให้เสียงเครื่องยนต์ที่ทำงานสลับกับมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้ลดเสียงเครื่องยนต์ลงไปได้มากทีเดียว

เราได้ลองใช้โหมดสปอร์ทในขณะวิ่งทางไกล อัตราเร่งมาเร็วขึ้น การตอบสนองรวดเร็วทันใจ แถมมีเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มความเร้าใจในขณะขับขี่ด้วย แต่บางคนก็มองว่า ในบางโอกาสอยากจะให้ปิดเสียงได้เมื่อไม่ต้องการได้ยินเสียงเครื่องยนต์ อยากขับเร็วแบบเงียบๆ แต่ยังไม่ได้มีปุ่มปิดเสียงมาให้ใช้งาน แต่จะดังเฉพาะเมื่อใช้โหมดสปอร์ทที่พร้อมซิ่งเท่านั้น ระบบเบรกแบบดิสค์ทั้งสี่ล้อ พร้อมตัวช่วย ABS และระบบกระจายแรงเบรก ให้การหยุดความเร็วที่ไว้ใจได้ในเรื่องความปลอดภัยขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง   



เราใช้ความเร็วกันค่อนข้างสูงตลอดการเดินทาง สลับกับการใช้งานในเมือง และในบางช่วงก็วิ่งบนไฮเวย์กันแบบสบายๆ อัตราความสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยในการขับวันนั้นทำได้ประมาณ 16 กม/ลิตร ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจกับการได้สมรรถนะขนาดนั้นมาใช้งาน ถ้าขับกันแบบใช้งานปกติทั่วไปตัวเลขระดับ 20 กม./ลิตร มีให้เห็นอย่างแน่นอน

ระบบรองรับ ด้านหน้าแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังแบบ อิสระ มัลทิลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ได้รับการเซทมาค่อนข้างลงตัวกับการใช้งานแบบครอบครัวที่พอจะอาศัยซิ่งได้บ้างในบางขณะ ในช่วงความเร็ว 140-150 กม./ชม. รถมีความนิ่งและเงียบจนเรามีความรู้สึกว่ารถวิ่งไม่เร็วราวกับใช้ความเร็วประมาณ 100-110 กม./ชม.เท่านั้นเอง พอเหลือบดูมาตรวัดความเร็วถึงจะทราบว่าเราวิ่งกันเร็วทีเดียว แต่พอเลย 150 กม./ชม. ต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะระบบรองรับไม่ได้เซทมาเพื่อการใช้ความเร็วสูงๆ แต่แค่ในระดับ 140-150 กม./ชม. ได้การควบคุมรถที่ดีขนาดนี้ผมก็ถือว่าน่าพอใจในการใช้งานของรถซีดานแบบครอบครัวที่ไม่ใช่รถสปอร์ทที่พร้อมซิ่ง การเข้าโค้งที่ความเร็วสูงๆ ยังเป็นไปด้วยดี ควบคุมรถง่าย แถมมีระบบตัวช่วยการทรงตัวต่างๆ ที่ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ก็ยิ่งเพิ่มความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี ถ้าต้องใช้ความเร็วสูงๆ เป็นประจำคงต้องนำไปปรับเซทช่วงล่างเพิ่มเติมเอาเองในภายหลัง แต่สำหรับการใช้งานโดยทั่วไปที่ค่อนข้างเร็ว ผมถือว่าระบบรองรับชุดนี้เซทมาได้ลงตัวทีเดียว นั่งสบาย ความนุ่มนวลทำได้ดี คงไม่มีผู้ขับหรือผู้โดยสารโดยเฉพาะที่เป็นสุภาพสตรีมาบ่นว่าช่วงล่างแข็งนั่งไม่สบายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้นุ่มย้วยจนควบคุมรถได้ลำบาก   



สำหรับผู้ที่กำลังหารถซีดานหรู ภายในกว้างขวาง นั่งสบาย เครื่องยนต์มีพละกำลังและความประหยัดเชื้อเพลิง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยติดตั้งมาให้อย่างเต็มที่ ใช้งานได้ดีทั้งในเมืองและวิ่งท่องเที่ยวทางไกลแบบครอบครัวได้อย่างสบายๆ ในงบประมาณช่วงล้านต้นๆ อยากจะแนะนำให้ไปลองขับรถรุ่นนี้ดูเพื่อเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ



ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้

  รุ่น e:HEV RS ราคา 1,259,000 บาท

  รุ่น e:HEV EL+ ราคา 1,129,000 บาท

 
สำหรับสีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก)

เฉพาะรุ่น e:HEV RS สีดำคริสตัล (มุก) สีขาวแพลทินัม (มุก)

สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และสีฟ้ามอร์นิงมิสต์

(เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น e:HEV EL+ และสีภายในของรุ่น e:HEV EL+

มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีเทาเบจ ซึ่งขึ้นอยู่กับสีภายนอก โดยรุ่น

e:HEV RS สีภายในจะเป็นสีดำเท่านั้น

   สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 6,000 บาท

มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 15

มิถุนายน 2565 – 31 กรกฎาคม 2565 รับดอกเบี้ย 2.59%**

พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และฟรี เสื้อแจ็กเกต e:HEV มูลค่า 500 บาท**

นอกจากนี้ ยังมอบแคมเปญพิเศษด้านการบริการหลังการขาย

เพื่อเสริมความมั่นใจในการขับขี่ ได้แก่

  รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี

และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี

ไม่จำกัดระยะทาง**

  ฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) มูลค่า 7,158.50 บาท

ยกระดับความสปอร์ตไปอีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo)

ดูรายละเอียดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่
https://hondaaccess.co.th/line-up/honda-civic/ หรืออ่านรายละเอียดผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th/civic ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถทดลองขับ ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี ใหม่ กับแคมเปญ “Happy Day Happy Drive”โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรมทดลองขับได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2565 – 30 กันยายน 2565

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ
หรืออ่านข้อมูลทางเว็บไซต์ www.honda.co.th/testdrive

ขอขอบคุณ : บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญเราไปร่วมทดลองขับและดูแลตลอดการเดินทางในครั้งนี้  

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้