ทดลองสมรรถนะ NEW MG 4 THE FIRST REAR WHEEL DRIVE EV

เอมจี 4 แฮทช์แบค อีวี รุ่นล่าสุด บนแพลทฟอร์มใหม่ เนบิวลา (Nebula Pure Electric Platform) ที่ออกแบบมาสำหรับเป็นรถอีวีโดยเฉพาะโดยไม่ได้ใช้พื้นฐานร่วมกับรถสันดาบภายในรุ่นใดเลย มีการวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น แผงแบตเตอรีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากได้ถูกติดตั้งไว้ในบริเวณใต้ท้องรถซึ่งมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ มอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งอยู่ท้ายรถเพื่อให้เหมาะกับการเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง และทำให้ล้อหน้าเลี้ยวได้อย่างอิสระและมีวงเลี้ยวแคบเพียงแค่ 5.3 ม. สะดวกในการใช้งานในเมือง นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนรุปแบบของตัวรถที่หลากหลายภายใต้แพลทฟอร์มเดียวกัน

 
MG4 สร้างมาสำหรับผู้ที่รักการขับขี่โดยเฉพาะ เป็นรถอีวีรุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง โดยเน้นให้ส่วนต่างๆ ของตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ระยะใต้ท้องรถสูงจากพื้นเพียงแค่ 117 มม. เท่านั้นเอง ระบบรองรับแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบ ไฟฟ์-ลิงค์ เน้นการควบคุมบังคับและการทรงตัวที่ดีโดยเฉพาะในขณะเข้าโค้ง ระบบเบรคแบบจานทั้งสี่ล้อพร้อมระบบตัวช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวทำงานด้วยไฟฟ้าหลายรูปแบบด้วยกัน

การออกแบบภายนอกแบบ Racing Spirit Identity เน้นความโฉบเฉี่ยว สะดุดตา เส้นสายทรงสปอร์ทตั้งแต่ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED นอกจากนี้ยังได้ติดตั้ง Day Time Running Lights ที้ด้านหน้าด้วย หลังคาตกแต่งด้วยสีทูโทน พร้อมสปอยเลอร์แบบ Twin Arrow Wing วงล้อขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/50-17    

 

นวัตกรรมแบทเตอรีแบบ Cell To Pack จัดเรียงเซลส์ตามแนวนอนเพื่อช่วยลดพื้นที่ และการระบายความร้อนเป็นไปด้วยดี และส่งพลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสากลด้านความปลอดภัย สำหรับ MG4 การชาร์จไฟกระแสตรง DC ใช้เวลา 35 นาที ในการชาร์จจาก 10 ถึงระดับ 80% 

    
ส่วนในด้านสมรรถนะ มอเตอร์กระแสสลับมีกำลังถึง 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-ม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 160 กม./ชม.
วิ่งได้ไกลถึง 425 กม./ชาร์จ พร้อมระบบช่วยชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถ ด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ ต่ำ กลาง สูง และแบบแปรผันตามการขับขี่ เพื่อให้เข้ากับการขับขี่ในทุกรูปแบบ

เราได้มีโอกาสทดลองขับ เอมจี 4 อีวี ในระยะเวลาสั้นๆ ราว 20 นาที เพื่อสัมผัสกับพละกำลัง อัตราเร่ง การทรงตัวในสถานการณ์ต่างๆ การเข้าโค้งและการเบรก โดยใช้สนามแข่งรถปทุมธานี สปีดเวย์ เป็นสถานที่ทดลองขับกันในครั้งนี้

เมื่อเราปรับตำแหน่งการนั่งเป็นที่เรียบร้อย เราก็เปิดเกมส์ด้วยการลองอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เมื่อเรากดคันเร่งอย่างเต็มที่ตัวรถถูกดึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนเราถึงกับหลังติดพนักพิงเบาะ น่าจะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 7-8 วินาทีเท่านั้นเอง แล้วเราก็ทดสอบการเบรกที่มั่นใจได้ดี จากนั้นก็วิ่งไปตามไลน์สนาม มีโค้งหักศอกโหดๆ ให้ได้ลอง และเนื่องจากคืนก่อนวันที่เราไปลองขับกันมีฝนตกอย่างหนัก ทำให้พื้นสนามในช่วงเช้ายังชื้นและมีความลื่น ในหลายๆ โค้งที่เราขับมาด้วยความเร็วตัวรถจะเสียอาการ ต้องขอชมว่าระบบตัวช่วยควบคุมเสถียรภาพต่างๆ ที่ติดตั้งมาในรถรุ่นนี้ช่วยเราได้มากทีเดียว แก้อาการรถได้อย่างรวดเร็วและให้ความปลอดภัยสูงในขณะขับขี่ การขับเป็นไปอย่างสนุกสนาน เร้าใจเนื่องจากตัวรถควบคุมง่ายในอารมณ์คล้ายๆ กับว่าเรากำลังขับรถโกคาร์ท รถมีบาลานซ์น้ำหนัก หน้า:หลัง ที่พอดี ทำให้อาการต่างๆ

ในขณะเข้าโค้งเป็นไปด้วยดี ขับง่ายและขับสนุก พวงมาลัยมีการตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำดี มีสถานีให้เราวิ่งมาด้วยความเร็วแล้วเบรกในขณะที่ตัวรถอยู่ในโค้ง เราก็สามารถควบคุมได้อย่างปลอดภัย ไม่มีอาการเสียหลักจนน่ากลัว จุดเด่นของรถรุ่นนี้น่าจะเป็นที่ถูกใจสำหรับผู้ที่รักการขับขี่แบบสปอร์ท การเข้าโค้งในรูปแบบต่างๆ เป็นไปด้วยดีและมั่นใจได้ในราคาตัวรถรุ่นทอพไม่ถึง 1,00,000 บาท เป็นรถไฟฟ้าที่น่าขับอีกรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว คล่องตัวมากในการใช้งานในเมือง รูปทรงสวยงามทันสมัย ภายในเรียบหรู ไม่ฉูดฉาด ต่างไปจากรถไฟฟ้าคันอื่นๆ ที่เราได้ลองขับกัน อยากให้ผู้ที่รักการขับรถได้มาลองขับรถรุ่นนี้แล้ะวจะรู้ว่า รถไฟฟ้าก็สามารถมีการควบคุมบังคับที่ดี ขับสนุก ไม่แพ้รถสปอร์ทเครื่องยนต์สันดาปภายในเลย แถมยังมีอัตราเร่งที่ดี การออกตัวจากในโค้งทำได้รวดเร็ว ไม่มีอาการรอเลย เราสามารถกดคันเร่งพาตัวรถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว      

 

เอมจี 4 มีรุ่นย่อย 2 รุ่นด้วยกันคือ D ราคา 869,000 บาท และ X ราคา 969,000 บาท มีสีตัวถังให้เลือกถึง 5 สี คือ สีฟ้า (Brighton Blue) (เฉพาะรุ่น X ), สีดำ (Black Knight), สีแดง (Scarlet Red), สีเทา (Andes Gray) และสีขาว (Arctic White) ตกแต่งภายในด้วยสีดำในรุ่น D และสีทูโทนในรุ่น X