BYD SEAL ขับสบายอุปกรณ์เพียบ กับราคาที่เย้ายวน มี 3 รุ่นย่อย ที่การขับขี่แตกต่างกันไป
1123 จำนวนผู้เข้าชม |
โดย:อัฐฒา นายเรือ
บีวายดี รถไฟฟ้าแบรนด์ใหญ่จากประเทศจีนได้นำเข้ารถหลากหลายรุ่นมาทำตลาดในเมืองไทย เริ่มจาก ATTO 3 คอมแพคเอสยูวีที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ต่อด้วยรถเล็ก DOLPHIN และมาถึง SEAL รถเก๋งระดับพรีเมียมหรู ที่มอบให้ทั้งสมรรถนะ ความสะดวกสบาย เต็มพิกัด ในราคาที่เอื้อมถึงและเข้ามาทำตลาดนี้ได้อย่างสบาย.ๆ จนมียอดจองหลายพันคันหลังเปิดราคาออกมา
เราได้มีโอกาสทดลองขับ BYD SEALทั้ง 3 รุ่นย่อย คือ DYNAMIC, PREMIUM และ PERFORMANCE บนเส้นทาง กทม.-เขาใหญ่-กทม. ในระยะเวลา 1 วันเต็ม โดยสตาร์ทกันที่ร้านกาแฟแถวเลียบด่วนก่อนจะวิ่งขึ้นทางมอเตอร์เวย์วงแหวน ตอ. สู่ อ.วังน้อย มุ่งสู่เขาใหญ่กัน
เราได้ลองขับเริ่มจาก PREMIUM ซึ่งเป็นรุ่นกลาง ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง ตั้งราคาไว้ 1,449,000 บาท ออกจากจุดสตาร์ท โดยผมเป็นผู้โดยสารในช่วง 50 กม. แรก ก่อนจะได้ลองขับในช่วง 50 กม. ไปจุดนัดพบแรก
ความรู้สึกแรกในขณะที่เข้ามาในรถสัมผัสได้ถึงความหรูหรา แพรวพราวตามสไตล์รถไฟฟ้าจากค่ายจีนที่เต็มไปด้วยปุ่มสวิทช์ควบคุม ช่วงกลางคอนโซลมีหน้าจอสัมผัสระบบมัลทิมีเดียคล้ายไอแพดขนาดใหญ่ถึง 15.6 นิ้ว ส่วนหน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่มีขนาด 10.25 นิ้ว พวงมาลัยและเบาะนั่งหุ้มหนังแท้คุณภาพดี, เบาะนั่งคนขับและกระจกมองข้างสามารถบันทึกตำแหน่งผู้ขับขี่ได้, มีที่ชาร์จมือถือแบบไร้สาย 2 ตำแหน่ง, มีจุดเสียบชาร์จ USB TYPE C หน้า-หลัง อย่างละ 2 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานที่จะอำนวยความสะดวกและปลอดภัยอีกมากมาย
รูปทรงของตัวรถออกแบบโดยสำนักออกแบบจากเยอรมนี มีความสวยงาม หรูหรา จนถ้าไม่มองโลโก้ยี่ห้ออาจนึกถึงบรรดารถหรูจากค่ายยุโรปกันเลยทีเดียว รถรุ่นนี้ติดตั้งล้อขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/45 R19
ในรุ่นกลาง พรีเมียม ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 313 แรงม้า 360 นิวตันเมตร แบทเตอรีมีความจุ 82.56 kWh วิ่งได้ไกล 650 กม./ชาร์จ รองรับ DC Fast Charge สูงสุด 150 kW 
เราได้ลองวิ่งทั้งในสภาพการจราจรติดขัดในเมือง และออกนอกเมืองที่ใช้ความเร็วสูงบนไฮเวย์กัน การขับในเมืองเป็นไปด้วยดี แม้ตัวรถจะมีขนาดไม่เล็กนัก มีเซนเซอร์เตือนรอบคันเมื่อมีรถอื่นเข้ามาใกล้ ให้ความคล่องตัวดี ทัศนวิสัยค่อนข้างโปร่งมองเห็นได้ทั่วคัน การถอยจอดมีจอมองหลังและเซนเซอร์เตือนตามจุดต่างๆ
อัตราเร่งทำได้ดี ทางบริษัทแจ้งว่า 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.9 วินาที แม้ว่าจะยังไม่ใช่ตัวทอพที่มีสมรรถนะสูง การเร่งแซง การใช้ความเร็วในการวิ่งทางไกลให้การตอบสนองที่ดีในการขับขี่ เป็นรถที่ให้ความสบายในการขับขี่ที่ดีมากในขณะต้องออกเดินทางเป็นระยะไกลๆ การเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีมาก
แม้รุ่นนี้จะมีหลังคากระจกพาโนรามิคที่เป็นแบบกรองแสง เรารู้สึกถึงความร้อนที่ส่องเข้ามาในห้องโดยสารน้อยมาก ระบบปรับอากาศให้ความเย็นทั่วทั้งคันในอุณหภูมิที่เราต้องการ การควบคุมบังคับทำได้ดี ระบบรองรับให้ความนุ่มนวลแบบนุ่มหนึบ รองรับการใช้ความเร็วสูงได้ดีในระดับหนึ่ง เน้นความสบายในการนั่งมากกว่าการขับขี่แบบสปอร์ท เราขับขี่ด้วยความเร็วช้าสลับเร็ว การใช้พลังงานจากแบทเตอรีถือว่าไม่สิ้นเปลืองมากนัก อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง วิ่งเดินทาง ไป-กลับ กทม.-เขาใหญ่ ในรัศมีการเดินทางราว 400 กม. ได้อย่างสบายๆ 
หลังจากพักดื่มกาแฟสักครู่ เราก็ได้เปลี่ยนมาขับในรุ่นเริ่มต้นคือ DYNAMIC เป็นระยะทางกว่า 100 กม. โดยสลับกันขับกับเพื่อนสื่อที่นั่งมาด้วยกันเช่นเคย สิ่งที่รู้สึกได้ชัดเจนคือ รถรุ่นนี้จะมีความนุ่มนวลมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการใช้ล้อ 18 นิ้ว และยาง 225/50-18 แต่การควบคุมบังคับไม่แม่นยำเท่ารุ่นพรีเมี่ยมที่ใช้ยางซีรีส์ต่ำขนาด 19 นิ้ว แต่ได้ความสะดวกสบายในการนั่งและขับมากขึ้น ภายในมีการตกแต่งที่ลดสเปคลงจากรุ่น PREMIUM เบาะและพวงมาลัยหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ และติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างลดลง
ในรุ่น DYNAMIC ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร แบทเตอรีมีความจุ 61.44 kWh รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 110 kW ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.5 วินาที วิ่งได้ไกล 510 กม./ชาร์จ ตั้งราคาไว้ที่ 1,325,000 บาท การขับยังคงเป็นไปด้วยดีแม้ว่าจะไม่เทียบเท่ารุ่นพรีเมียมที่ราคาต่างกันอยู่ราวแสนต้นๆ อัตราเร่งระดับนี้ก็ถือว่าไม่อืด แถมยังเร็วกว่ารถส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงด้วย
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน เราก็ขับรถไปยังสนามทดสอบที่ 8 SPEED เพื่อทดลองอุปกรณ์ตัวช่วยในเรื่องความปลอดภัยในขณะเข้าโค้ง คือ ระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ (iTAC) ในขณะที่ขับเข้าโค้งอย่างแรงบนพื้นผิวถนนที่ลื่น ระบบนี้จะช่วยลดแรงบิดของระบบขับเคลื่อนลงเพื่อให้เกิดความปลอดภัย รถไม่เกิดการเสียหลัก ระบบนี้เข้ามาทำงานได้รวดเร็วมาก จะติดตั้งเฉพาะในรุ่นทอพ PERFORMANCE AWD เท่านั้น
นอกจากนี้เรายังได้ทดลองขับเปลี่ยนทิศทางแบบสลาลอม รวมไปถึงการเข้าโค้งรูปแบบต่างๆ ในสนามทดสอบด้วยความเร็ว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้การเข้าโค้งที่ดี ควบคุมรถง่าย ลดอาการลื่นไถลออกนอกเส้นทางได้ดีทีเดียว 
หลังจากนั้นถึงเวลาที่เราต้องขับกลับ กทม. กันแล้ว เราได้ขับรุ่น PERFORMANCE ซึ่งขับเคลื่อนด้วยล้อทั้งสี่ ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุด ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว 530 แรงม้า 670 นิวตันเมตร ตั้งราคาไว้ที่ 1,599,000 บาท
ในรุ่นนี้ โช๊คอัพแบบ FSD ปรับความหนืดโดยอัตโนมัติตามความเร็วและโหมดการขับขี่ โดยเซทช่วงล่างแบบ PERFORMANCE เน้นการขับขี่ที่รวดเร็ว ใช้ความเร็วสูง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.8 วินาที เทียบเท่าบรรดาซูเปอร์คาร์ชั้นยอดในปัจจุบันเลยทีเดียว
การขับในรุ่นทอพนี้ อัตราเร่งทำได้ทันใจ เพียงแต่ว่าจะใช้ไฟฟ้าในแบทเตอรีเปลืองอยู่สักหน่อย แม้ว่าตามสเปคจะวิ่งได้ไกลถึง 580 กม./ชาร์จ แต่ถ้ากดกันเร็วๆ ก็ไม่ถึง ก่อนเดินทางกลับ กทม. ไฟฟ้าในแบทเตอรีเหลือน้อย ทางเจ้าหน้าที่ชาร์จไฟให้รถเรามีอยู่ 40% เราจึงเดินทางกลับแบบค่อยๆ ย่อง เพื่อให้ไฟพอที่จะวิ่งถึงจุดหมาย เราลัดเลาะมาตามเส้นทางเหวปลากั้ง มาออกเส้นมิตรภาพแถวมวกเหล็ก ขับกันแบบนุ่มๆ เลี้ยงคันเร่งเพราะกลัวไฟจะหมดกลางทางเสียก่อน ซึ่งถ้าไฟหมดมีวิธีแก้อย่างเดียวคือเรียกรถสไลด์ เราขับแบบหยอดประคองกันเต็มที่ ทำให้ไม่มีโอกาสได้ลองสมรรถนะตัวทอพในระดับซูเปอร์คาร์กันเลย วิ่งกันที่ความเร็วราวๆ 80-100 กม./ชม. วิ่งมาได้ถีงจุดหมายอย่างปลอดภัยโดยมีไฟฟ้าเหลืออยู่ในแบทเตอรี 12% 
สรุปโดยรวมจากการขับ BYD SEAL ทั้งสามรุ่นย่อย เป็นรถที่มีคุณภาพดี ขับสบายสุดๆ อุปกรณ์เพียบทั้งในเรื่องการอำนวยความสะดวกและปลอดภัย การขับขี่มีความแตกต่างกันไปในรายละเอียดของแต่ละรุ่น การใช้งานโดยทั่วไปทำได้ดี และเมื่อมาเจอกับราคาที่เย้ายวนใจทำให้หลายๆ คนอยากจับจองเป็นเจ้าของรถไฟฟ้ารุ่นนี้ ยอดจองถล่มทลายชั่วข้ามคืน ถึงขนาดที่ยังไม่เปิดราคาก็มียอดจองแล้วกว่า 1,500 คัน เลยทีเดียว ถือว่าคุณภาพสมราคา ถ้าท่านใดกำลังหารถไฟฟ้าที่มีความหรูหราระดับพรีเมียม ขับขี่ดี อุปกรณ์เพียบๆ นาทีนี้คงไม่มีใครเกิน BYD SEAL อย่างแน่นอนครับ
