Mitsubishi All-New Triton Single Cab 4x4 ลุยก็ดี..บรรทุกหนักก็ได้

669 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หลังจากค่าย มิตซูบิชิ ได้เปิดตัวแบบเวิลด์ พรีเมี่ยม สำหรับรถกระบะรุ่นใหม่ล่าสุด All-New Triton ที่ปรับเปลี่ยนกันแบบยกชุด อาทิเรื่องการดีไซน์มาในสไตล์ที่แข็งแกร่งบึกบึนมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม เทคโนโลยีของขุมพลังที่ปรับเปลี่ยนใหม่ และด้วยราคาค่าตัวที่เปิดออกมาถือว่าทำให้คู่แข่งในตลาดถึงกับอึดอัดพอสมควร ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้ไม่นานก็มีการจัดการทดสอบแบบกรุ๊ปเทสต์ในตัว Double Cab 4x4 กันไปแล้ว เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่มาแบบเงียบๆ กับการจัดทดสอบตัวลุยหัวเดี่ยว Single Cab 4x4 ที่เน้นการใช้งานที่หลากหลาย และเหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ


รูปลักษณ์ภายนอกของ All- New Triton Single Cab 4x4 ก็เหมือนกับตัว Double Cab 4x4 แตกต่างกันที่ดีเทลอาทิ กระจังหน้า และกรอบครอบไฟตัดหมอกเป็นสีดำ ไม่ใช่โครเมี่ยม ไฟหน้าแบบแบบมีลติรีเฟล็กเตอร์ฮาโรเจน กระจกมองข้างสีดำปรับไฟฟ้าแต่พับเก็บด้วยมือ เช่นเดียวกับมือเปิดประตูที่เลือกใช้สีดำเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่ชอบสำหรับตัว Single Cab 4x4 นี้เห็นจะเป็น คิ้วพลาสติกสีดำบริเวณชายล่างของประตูคู่หน้า นอกจากจะช่วยให้ตัวรถดูมีมิติมากขึ้นแล้ว ยังช่วยในเรื่องการโดนหิน หรือขี้โคลนดีดใส่ได้อีกทางหนึ่งด้วย ลูกกระบะเน้นความเรียบง่ายออกแบบให้มีขอเกี่ยวถึง 5 อัน ซ่อนอยู่ขอบบนของขอบกระบะ มือเปิดฝาท้ายแบบ Tallgate Handle สไตล์คลาสสิค แต่แข็งแรง ไฟท้ายดีไซน์เหมือนตัว Double Cab 4x4 ต่างกันที่ได้เป็นแบบ LED ล้อติดรถที่ให้เป็นล้อกระบะขอบ 16x6 นิ้ว รัดด้วยยางไซส์ 205 R 16 C



 

เปิดประตูชมภายในห้องโดยสารกันสักนิด เลย์เอ้าท์การออกแบบภายในห้องโดยสารมารูปแบบเดียวกันหมด แตกต่างกันที่การตกแต่ง ซึ่งตัว Single Cab 4x4 เน้นการใช้งานที่หลากหลายรูปแบบเป็นหลัก ดังนั่นความหรูหราแบบเดียวกับตัว Double Cab 4x4 นั่นคงไม่มี แต่เท่าที่มีให้ก็เพียงพอกับการใช้งานจริงๆ คอนโซลหน้าเป็นพลาสติกขึ้นรูป ไม่มีการหุ้มวัสดุพื้นผิวที่เพิ่มความหรูหราแต่อย่างใด กลับกันการดูแลรักษาทำได้ง่ายดายว่า บริเวณผู้โดยสารตอนหน้าตัวคอนโซลด้านบนทำเป็นช่องเก็บของขนาดพอเหมาะ และด้านล่างยังมีเก๊ะเก็บของตามปกติให้อีกด้วย

ชุดเรือนไมล์เลย์เอ้าท์เดียวกันแต่ในหน้าจอ MID แสดงการทำงานของตัวรถเท่าที่จำเป็นอาทิ ODO Meter, TripA-TripB, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง, น้ำมันเชื้อเพลิงในถังเหลือขับได้ระยะทางกี่กิโลเมตร เป็นต้น พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน เป็นโพลิเมอร์ฉีดปั๊มลายบริเวณผิวสัมผัสไม่ให้ลื่นมือ มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงมาให้เพียงอย่างเดียว พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง กระเถิบมามีจอทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว เชื่อมต่อ Bluetooth, Apple Car Play และ Android Auto ได้(แต่การเชื่อมต่อยากไปนิดนึงในกรณีเชื่อม Bluetooth เพราะจำเป็นต้องทำในกรณีที่รถจอดสนิทเท่านั่น อาจดูยุ่งยากไปนิด แต่ข้อดีคือ เรื่องความปลอดภัยในขณะขับขี่)

ระบบปรับอากาศเป็นแบบแมนนวล ถัดลงมามีช่องเสียบ USB Type A และ Type C ใกล้ๆ กันเป็นปุ่ม Rear Diff Lock และช่องเสียบเพาเวอร์เอ้าท์เลท์ให้อีก 1 ช่อง บริเวณชุดคันเกียร์มีปุ่มของระบบขับเคลื่อน Easy Select 4 WD โดยบริเวณแป้นชุดคันเกียร์ปั๊มเป็นลายคาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยลดการเป็นริ้วรอยของบริเวณพื้นผิวได้เป็นอย่างดี พร้อมกับมีช่องวางแก้วให้ 2 ช่อง เบาะคู่หน้าเป็นแบบแยก ปรับได้ 4 ทิศทาง(เสียดายฝั่งคนขับถ้าปรับสูง-ต่ำได้จะดีมากๆ) ตัวเบาะนั่งออกแบบให้มีขนาดใหญ่นั่งได้สบายพอตัว แต่สิ่งที่ชอบสุดในห้องโดยสารของ Single Cab 4x4 คือ มีมือโหนขึ้นรถทั้ง 2 ฝั่งบริเวณเสา A Pillar และพื้นรถใช้วัสดุพลาสติกปั๊มลายขึ้นรูปตามพื้นห้องโดยสาร ข้อดีคือ เรียบร้อยกว่าการใช้หนัง PU หุ้มพื้นห้องโดยสาร ดูเรียบร้อย ทำความสะอาดคราบสกปรกได้ง่ายกว่า

เครื่องยนต์ของ All-New Triton Single Cab 4x4 ตัวนี้มากับเครื่องยนต์บล็อคใหม่ 4N16(Hyper Power) ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ แบบแถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุ 2.4 ลิตร ให้แรงม้าสูงถึง 184 ตัวที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตัน-ม. ที่ 2,250-2,500 รอบต่อนาที ถ้าสังเกตดีๆ แรงบิดของเครื่องยนต์จุดที่พีคสุดมีให้ใช้งานเพียงแค่ 250 ต่อนาทีเท่านั่น เครื่องยนต์บล็อคนี้จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติพร้อม Manual Shift 6 จังหวะ


แชสซีส์ ที่มีการออกแบบใหม่ ใช้เหล็กแรงดึงสูง High-Tensile Steel แข็งแรงขึ้น แต่มีน้ำหนักโดยรวมที่เบาลงกว่ารุ่นเดิม ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบ อิสระปีกนก 2 ชิ้น สตรัทคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง โดยจุดยึดปีกนกบนมีการขยับตำแหน่งขึ้นมาอยู่ด้านบนของแชสซีส์ ระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบ คานแข็ง แหนบแผ่นซ้อน พร้อมช็อคอัพ โดยที่ช็อคอัพทั้ง 4ตันเป็นแบบ Twin Tube ระบบเบรคเป็นหน้าดิสค์ หลังดรัมเบรค มาพร้อมระบบป้องกันล้อล็อค ABS เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน


การทดสอบสมรรถนะของ All-New Triton Single 4x4 ครั้งนี้ ทางมิตซูบิชิ ได้นำรถรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 2 คัน โดยคันนึงเป็นรถเปล่า พร้อมเซ็ทลมยางตามมาตรฐานที่ระบุไว้ข้างประตู 36 Psi ทั้ง 4 ล้อ และอีกคันมีการโหลดแท็งค์น้ำ และยางมะตอน 30 ถุง น้ำหนักรวมกัน 700 กว่ากิโลกรัม พร้อมเซ็ทแรงดันลมยางคู่หน้า 39 Psi และคู่หลัง 65 Psi ตามมาตรฐานที่ระบุไว้ข้างประตู โดยช่วงแรกเป็นการขับบนเส้นทางไฮเวย์กับรถเปล่าเสียงของเครื่องยนต์ที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารถือว่าอยุ่ในระดับที่รับได้ แต่ช่วงกดคันเร่งรอบเครื่องประมาณ 2,000 รอบ เสียงพัดลมฟรีปั๊มหน้าเครื่องดังเข้ามาพอสมควรในจังหวะแรกแล้วก็เงียบลง

อัตราเร่งช่วงออกตัวทันอกทันใจดีพอควร แต่ช่วงลอยลำความเร็วสักประมาณ 100-120 กม./ชม. แล้วต้องการเร่งแซง แม้จะกดคันเร่งเพื่อ Kick Down แล้ว การตอบสนองของเครื่องยนต์ก็ให้การตอบสนองทีดีแม้อาจไม่จี๊ดจ๊าดเท่าช่วงออกตัว เพราะส่วนนึงรอบเครื่องอาจหลุดจังหวะเพาเวอร์แบรนด์ของแรงบิดไปแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าต้องลุ้นแต่อย่างใด และอีกสิ่งนึงที่ชอบคือ​ เวลาที่ลดความเร็วโดยการแตะเบรค ระบบเกียร์อัตโนมัติปกติก็จะปรับอัตราทดเกียร์ลง แต่ใน​ตัวนี้ทางวิศวกรได้มีการโปรแกรมกล่อง​ ECU​ ให้มีเบิ้ลรอบขึ้น(ลักษณะเหมือนเอ็นจิ้นเบรค)​ ทำให้เพิ่มความปลอดภัยตอนลดความเร็วโดยเฉพาะเวลาลงทางลาดชัน​ และช่วยให้รอบเครื่องมีจังหวะสอดรับกับอัตราเร่งหากผู้ขับขี่กดคันเร่งทันท่วงที


ฟิลลิ่งของพวงมาลัยน้ำหนักดูเหมือนมากไปนิดเวลาออกตัว แต่พอความเร็วสูง และจังหวะโยกเปลี่ยนเลนกลับทำได้ดี อัตราทดพวงมาลัยถือว่าพอเหมาะไม่ไวหรือยานจนเกินงาม ช่วงล่างด้านหน้าถือว่าไม่นิ่มหรือกระด้าง เวลาขึ้น-ลง คอสะพานด้วยความเร็ว ไม่มีอาการย้วยแต่อย่างใด ส่วนความรู้สึกของช่วงล่างด้านหลังไม่ถือว่าดีดเด้งเท่าใดนัก ช็อคอัพทำงานได้ดีเยี่ยม หยุดรั้งการทำงานของแผ่นแหนบได้เป็นอย่างดี

กลับกันพอมาขับตัวที่มีน้ำหนักบรรทุกวิ่งบนทางไฮเวย์ พละกำลังของเครื่องยนต์ให้อัตราเร่งที่ดีใกล้เคียงกับรถเปล่า แต่จังหวะเร่งแซงที่ความเร็ว 100-120 กม./ชม. ขึ้นไป ก็ไม่ถือว่าขี้เหร่แต่อย่างใด สมรรถนะของช่วงล่างด้านหน้าอาจนุ่มไปสักนิดเวลาที่น้ำหนักของตัวรถถ่ายจากด้านหลังมาด้านหน้าเวลาขึ้น-ลง คอสะพาน หรือเวลาแตะเบรค ส่วนทางด้านหลังกลับนุ่มขับสบายขึ้นแบบจับความรู้สึกได้ และเวลาเข้าโค้งด้วยความเร็วระดับ 80 กม./ชม. ในโค้งแคบๆ บางช่วงแถวแก่งกระจาน อาการของตัวรถถือว่าไม่น่าห่วง แม้จะมีบางช่วงลองเข้าโค้งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนรถเริ่มมีอาการหน้าดื้อโค้งระบบ Active Stability Control เข้ามาช่วยรักษาสมดุลให้กับตัวรถในขณะเลี้ยวโค้งได้ดีขึ้น(แต่ถ้าเกินลิมิตมากๆ ก็ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ)



 

หลังจากขับบนถนนปกติกันแล้วก็มาถึงไฮไลท์ในการทดสอบสมรรถนะของ All-New Triton Single Cab 4x4 กับการลุยสภาพเส้นทางที่เปียกลื่นภายในสนาม Sam Canyon ซึ่งเป็นสนามโมโตครอส ที่จับมาดัดแปลงให้ได้ลองสมรรถนะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ กันแบบเต็มๆ ทั้งรถเปล่า และรถที่มีโหลดบรรทุก ซึ่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ของ All-New Triton Single Cab 4x4 จะมาพร้อมกับระบบ Easy Select 4 WD ง่ายๆ เพียงหมุนปุ่มเลือกระบบขับเคลื่อนจาก 2H มาเป็น 4H ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ทั้งจาก 2 มา 4 และ 4 มา 2

สภาพพื้นผิวเป็นดินแดงที่มีการโปรยน้ำจนฉ่ำแฉะตลอดเส้นทาง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อล้อใดล้อหนึ่งหมุนฟรี ระบบ Active Limited Slip Differential จะเข้ามาช่วยเหลือจัดการทันที โดยล้อไหนที่หมุนฟรีระบบจะไปจัดการเบรคล้อที่หมุนฟรีแล้วถ่ายแรงบิดไปยังอีกข้างหนึ่งเพื่อให้ตัวรถสามารถขับผ่านอุปสรรค์เส้นทางไปได้อย่างสบายๆ โดยใช้รอบเครื่องอยู่ในระดับ 1,700 ไม่เกิน 2,500 รอบ กลับกันเราได้มีการลองขับรถขึ้นมาอยู่ทางขึ้นเนินแล้วหยุดรถให้สนิท(ลองระบบ Hill Start Assist) แล้วลองออกตัวใหม่อีกครั้งในรถตัวเปล่าพละกำลังสามารถพาตัวรถไต่ขึ้นเนินไปได้แบบไม่ต้องลุ้นมากนัก

พอเปลี่ยนมาขับรถตัวที่มีโหลดบรรทุกเงื่อนไขทดสอบแบบเดียวกันจอดบนทางขึ้นเนินเหมือนกัน ด้วยน้ำหนักบรรทุกที่มากกว่า และยางที่ใช้เป็นยางติดรถแบบ ออล-เทอร์เรน ถ้ากะจังหวะคันเร่งไม่ดีล้อจะฟรีทิ้งตัวรถจะไม่ยอมไต่ขึ้นเนิน แต่ด้วยตัวรถมีระบบ Rear Diff Lock เพียงกดปุ่มตรงหน้าคันเกียร์ ระบบจะทำการล็อคล้อคู่หลังให้หมุนความเร็วรอบที่เท่ากัน ตัวรถที่มีน้ำหนักบรรทุกก็สามารถขับผ่านอุปสรรค์เส้นทางไปได้แบบไม่ยากนัก และยังไม่จำเป็นต้องหยุดรถเพื่อหมุนปุ่ม Easy Select 4 WD มาเป็น 4 Low แต่อย่างใด


บทสรุปกับการสัมผัสสมรรถนะของ All-New Triton Single Cab 4x4 ในครั้งนี้ ต้องเรียกว่าครบรส และสามารถรีดเคนสมรรถนะ และความชาญฉลาดของระบบส่งกำลัง Easy Select 4 WD กับตัวช่วยอื่นๆ ทำให้ตัวรถอยู่ในการควบคุม และขับผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ไปได้แบบไม่ต้องลุ้น พละกำลังของเครื่องยนต์ก็อยู่ในจุดที่เพียงพอต่อการใช้งานในหลากหลายรูปแบบกับค่าตัว 6.99 แสนในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 7.49 แสนในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามในการนำไปใช้งานตามเส้นทางขึ้นเขา ลงห้วย และมีการบรรทุกหนักๆ เชิงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้