765 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจากค่าย Omada&Jaecoo แอบเผยโฉมรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่ม B-SUV ให้กับสื่อมวลชนได้ยลโฉม ตอนมีการทดสอบ JAECOO J7 ที่เขาใหญ่ แต่ข้อมูลรถยังไม่ได้รับการเปิดเผยมากนัก จนวันนี้ได้มีการจัดงานเปิดตัวน้องใหม่ J5 EV อย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยราคาที่สะเทือนวงการในช่วงแนะนำ 549,00 บาทในรุ่น Dynamic(จากราคาจำหน่ายจริง 629,000 บาท) และราคา 599,00 บาท รุ่น Max(ราคาจำหน่ายจริง 679,000 บาท) นับเป็นโอกาสอันดี ที่ทีมงานได้แอบไปลองสัมผัสน้องใหม่คันนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้ชมกัน
JAECOO 5 EV จริงตัวรถมีให้เลือก 2 แบบ ด้วยกันคือ EV และแบบที่ใช้เครื่องยนต์ โดยตัวรถถูกวางตำแหน่งอยู่ในกลุ่มของ B-SUV คู่ต่อกรในตลาดสำหรับเมืองไทยประกอบด้วย Toyota Yaris Cross, Honda HR-V,BYD ATTO3, AION V, Deepal S05, GEELY EX5 เป็นต้น ด้วยมิติของตัวรถยาว 4,380 มม., กว้าง 1,860 มม., สูง 1,650 มม. ความยาวฐานล้อ 2,620 มม. ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 174 มม.
ดีไซน์ตัวรถมาลักษณะทรงกล่อง(ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Range Rover ) ดีไซน์ด้านหน้าเน้นความเรียบง่าย ไฟหน้าทรงเรียวยาวมาพร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED โดยมีกรอบกระจังหน้าพร้อมโลโก้ JAECOO กันชนหน้าออกแบบเน้นในเรื่องของช่องรับลมเพื่อการระบายความร้อนให้กับส่วนต่างๆ ของตัวรถ ช่องดักลมตรงกลางมีตะแกรงแบบ ชัตเตอร์กริล เปิด-ปิด อัตโนมัติ เพื่อช่วยเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ และการรักษาอุณหภูมิในเรื่องของการระบายความร้อนให้กับแบตเตอรี่ ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน ฝากระโปรงหน้าเปิดมาเป็นที่เก็บของหน้ารถ Frunk ขนาดความจุ 35 ลิตร
เส้นสายด้านข้างเรียบง่าย ไม่ประดิษฐ์รอยเว้า รอยนูนของตัวรถมากนัก มือเปิดประตูทั้ง 4 บานเป็นแบบธรรมดา ไม่ได้ซ่อนรูปเหมือนรถไฟฟ้ายุคใหม่ หลังคาเป็นแบบ Panoramic Roof บานใหญ่ ขนาด 1.45 ตารางเมตร(ที่ได้รับการเคลมว่าใหญ่สุดในกลุ่มของรถไซส์เดียวกัน) มาพร้อมกับแผ่นบังแสงแบบเลื่อนเปิด-ปิดไฟฟ้า ด้านท้ายก็เช่นเดียวกันเน้นความเรียบง่าย มีสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับไฟเบรคดวงที่ 3 ชุดไฟท้ายแบบเรียวยาว ตลอดจรดซ้าย-ขวาของท้ายรถ โดยมีโลโก้ JAECOO อยู่ตรงกลางเช่นเดิม ฝาท้ายเปิด-ปิดแบบอัตโนมัติ กันชนท้ายออกแบบให้ดูกลมกลืนกับดีไซน์ของตัวรถ มีแผงทับทิมสะท้อนแสงเล็กๆ อยู่ที่มุมของกันชนท้ายทั้ง 2 ฝั่ง
เปิดประตูเข้ามาชมภายในห้องโดยสารกันบ้าง ซึ่งก็ยังคงได้กลิ่นอายของความเรียบง่ายในเรื่องของการดีไซน์เช่นเดียวกับภายนอกตัวรถ คอนโซลหน้าออกแบบเรียบๆ จอเรือนไมล์แบบฝัง(TFT) มีลูกเล่นต่างๆ ค่อนข้างเยอะ (รุ่นMax) หน้าจอแบบดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว การวางเลย์เอ้าท์ถ้ามองในเรื่องการมองเห็นตอนขับใช้งานถือว่าดี เพราะเน้นสีสันคือ ขาว น้ำเงิน แดง และเขียว (รุ่นDynamic)
การจัดวางตำแหน่งช่องแอร์ด้านหน้า ถือว่ามีจุดด้อยมากโดยเฉพาะทางฝั่งคนขับ เพราะเล่นวางช่องแอร์ 2 ช่อง ขนาบจอเรือนไมล์ ทำให้เวลาแรงลมที่ออกมามันจะปะทะพวงมาลัยกับมือคนขับ ถ้าปรับทิศทางลมเพื่อให้ความเย็นกระจายถึงผู้โดยสารตอนหลัง ฝั่งหนึ่งติดจอกลาง ฝั่งหนึ่งยังไงก็ติดพวงมาลัยอยู่ดี
พวงมาลัยแบบ 2 ก้าน(ยกมาจาก OMADA C9) พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่น พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ตัวก้านของพวงมาลัยมีขนาดกำลังดี ออกแบบให้ตัววงด้านหลังเป็นแบบท้ายตัดนิดๆ ก้านสวิทช์ทางฝั่งขวาเป็น ชุด E-Shifter ส่วนก้านสวิทช์ทางฝั่งซ้ายเป็นสวิทช์เปิด-ปิดไฟหน้าหน้า ปัดน้ำฝนหน้า และหลัง จออินโฟเทนเม้นท์กลางมาในรูปแบบแนวตั้งขนาด 13.2 นิ้ว แบบทัชสกรีน เชื่อมต่อ Apple Car Play-Android Auto และ Bluetooth ได้(รุ่น Dynamic จะได้จอทัชสกรีนขนาด 9 นิ้ว)
การสั่งงานระบบปรับอากาศ และอื่นๆ ฟังก์ชั่นซ่อนอยู่ในหน้าจอทั้งหมด ต่อจากจอกลางเป็นชุดสวิทช์ Mode การขับขี่, สวิทช์ไฟฉุกเฉิน และสวิทช์ล็อครถ ถัดไปจะเป็นแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย 50W พร้อมกับช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง มีเท้าแขนที่เปิดฝาออกมาเป็นช่องเก็บของได้ ด้านล่างของคอนโซลกลางออกแบบให้มีช่องวางของด้านล่างได้อีกเล็กน้อย พร้อมกับช่องเสียบ USB Type A กับ Type C อย่างล่ะ 1 ช่อง และช่องเสียบชาร์จไฟ 12 V
เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบให้นั่งสบาย หัวหมอนแยกออกจากตัวพนักพิง(อันนี้ชอบมาก) ตัวเบาะนั่งขนาดใหญ่ นั่งได้ค่อนข้างสบาย เบาะฝั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศ Seat Ventilations(รุ่น Dynamic ปรับด้วยมือ) ทัศนวิสัยในตำแหน่งของผู้ขับขี่ถือว่าดีทีเดียวกว้างขวางมองเห็นได้ชัดเจน ตำแหน่งของเสา A-Pillar บดบังสายตาบ้างเล็กน้อยในขณะเลี้ยวออกจากที่แคบ(ชดเชยด้วยการใช้ภาพจากมุมกล้อง 540 องศา ในการมองเห็นแทนได้)
เปลี่ยนมานั่งที่ผู้โดยสารตอนหลังบ้าง ตัวเบาะนั่งออกแบบให้นั่งสบาย พนักพิงเอนในระดับที่นั่งเดินทางไกลไม่เมื่อยล้า และสามารถพับแยก 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการขนสัมภาระได้ ส่วนรองนั่งยาวรองรับต้นขาได้ดี พื้นที่วางขามีให้เหลือเฟือ พร้อมกับช่องแอร์ด้านหลัง 1 ช่อง และช่องชาร์จไฟ USB Type A 1 จุด พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถมีขนาด 480 ลิตร และเมื่อพับพนักพิงเบาะทั้ง 2 ข้าง จะเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระเป็น 1,284 ลิตร
พละกำลังในการขับเคลื่อน JAECOO J5 EV มาพร้อมกับ มอเตอร์เดียวขับเคลื่อนล้อหน้า ให้แรงม้า 211 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตัน-ม. โดยแหล่งจ่ายไฟเป็นแบตเตอรี่ความจุ 58.9 kWh ชาร์จไฟ 1 ครั้ง วิ่งได้ระยะทาง 461 กม.(NEDC), 400 กม.(WLTP) รองรับไฟชาร์จ DC สูงสุด 80 kW ช่องชาร์จไฟแบบ CCS2 และชาร์จแบบ AC สูงสุด 11 kW ช่องชาร์จแบบ Type2 อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 175 กม./ชม.
การทดลองขับในครั้งนี้อาจจะสั้นนิดนึง เพราะเราไปทดลองในสนามปิด โดยในช่วงของอัตราเร่งเริ่มจากโหมด Normal ก่อน ซึ่งการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าหลังจากคันเร่งไปแล้ว อาการดึงของตัวรถไม่ถือว่าดึงหนักแต่อย่างใด มาในแนวนุ่มๆ ผู้โดยสารไม่ตกใจมากนัก พอเปลี่ยนมาเป็นโหมด Sport ความกระฉับกระเฉงจะมีมากขึ้น แรงดึงหลังจากการกดคันเร่งมีให้สัมผัสได้ชัดเจนขึ้น แรงบิดระดับ 280 นิวตัน-ม. ให้อัตราเร่งที่ดีในระดับการใช้งานปกติ
กลับกันในโหมด Eco คันเร่งจะถูกทำให้ตอบสนองช้างลงในช่วงแรก อัตราเร่งช่วงต้นดูอืดเล็กน้อย แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ตอนถอนเท้าจากคันเร่ง อาการหน่วงจากระบบรีเจนเนอเรทีฟจะไม่ได้หน่วงแบบหนักๆ เหมือนคู่แข่งในตลาดหลายๆ คัน ผู้โดยสารจะไม่ค่อยรู้สึกถึงแรงหน่วง หรืออาการเวียนหัว ตัวนี้นับเป็นข้อดีอย่างนึงของรถคันนี้
ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ แร็คแอนด์พิเนี่ยนแบบไฟฟ้า EPS น้ำหนักพวงมาลัยจัดว่าเบาในระดับที่รับได้อัตราทดของพวงมาลัยจัดอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ไว หรือยืดยาดจนเกินงาม การวิ่งทดสอบในสนามที่มีโค้งแคบๆ และกว้าง การเลี้ยวไปตามทางไม่ต้องหมุนพวงมาลัยเยอะจนเกินไป มีแค่โค้งแคบๆ จุดนึงในสนามที่ต้องหมุนพวงมาลัยเยอะประมาณเกินครึ่งรอบนิดๆ
ระบบกันสะเทือนของ JAECOO J5 EV ทางด้านหน้าเลือกใช้แบบ อิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบ อิสระ มัลติลิงค์ ฟิลลิ่งของช่วงล่างชุดนี้ ถ้าขับช้าๆ คลานๆ ในเมือง อาการของช่วงล่างชุดนี้ออกแข็ง และเสียงตึงตังนิดๆ เวลาขับในสนามเข้าโค้งด้วยความเร็วเฉลี่ย 40-50 กม./ชม. ให้อาการที่ดีคุมได้ ออกอันเดอร์สเตียร์นิดๆ เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสลองความเร็วสูงบนถนน เลยยังจับฟิลลิ่งตอนวิ่งบนจริงว่าอาการของช่วงล่างเวลาขึ้น-ลงคอสะพานจะเป็นอย่างไรบ้าง
ระบบเบรคเป็นดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ ความรู้สึกการตอบสนองของแป้นเบรคในการเหยียบครั้งแรกมาในสไตล์ของ E-Booster ให้ความรู้สึกว่าเบรคทำงานเร็วกว่าความเป็นจริง ต้องสร้างความคุ้นเคยกับน้ำหนักเท้าในการเหยียบเบรคสักเล็กน้อย พอคุ้นแล้วก็สามารถคอนโทรลเบรคได้ดี การขับขี่ในสนามการทำงานของเบรคค่อนข้างดี แต่ก่อนรถหยุดสนิทมีอาการดูเหมือนไหลๆ นิด(คาดว่าเพราะผ้าเบรคยังใหม่ ยังกินหน้าจานเบรคไม่เต็มที่) ล้อแม็กที่ให้มาขนาด 18 นิ้ว รัดไว้ด้วยยางไซส์ 235/55 R 18 นิ้ว ยี่ห้อ GITI รุ่น Control P10
ระบบความปลอภัยเพียบพร้อมอาทิ ระบบเบรค ABS/ EBD/ BA, ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control, ระบบช่วยลดกำลังขับเคลื่อนเพื่อช่วยเบรค BOS, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว RSC, ระบบป้องกันรถไหลเมื่อขึ้นทางลาดชัน HAC, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC, ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง TPMS, เซ็นเซอร์กะระยะขณะถอยจอด, ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา Blind Spot, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ฯลฯ
สีตัวรถมีทั้งหมด 4 สีด้วยกัน สีดำ Carbon Black, สีเทา Cloudy Grey, สีขาว Snowy White และสี Bahamas Blue สีสันภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สีด้วยกัน สีเทา Light Grey, สีดำ Black รุ่น Max จะเป็นเบาะหนัง ส่วนรุ่น Dynamic จะเป็นเบาะผ้า
บทสรุปคร่าวๆ กับการสัมผัสครั้งแรกกับเจ้า JAECOO J5 EV ถ้ามองในเรื่องของรูปลักษณ์ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ล่ะท่าน แต่หากเป็นสาวก Land Rover อาจจะตรงจริตมากที่สุด พื้นที่ภายในห้องโดยสารถือว่านั่งสบาย แต่การเก็บเสียงอาจต้องปรับปรุงโดยเฉพาะบริเวณที่เก็บของท้ายรถ และซุ้มล้อหลัง ถึงจะช่วยเรื่องเสียงของช่วงล่างที่เล็ดลอดเข้าห้องโดยสารให้เงียบขึ้น เรื่องของความแรงเน้นการใช้งานถือว่าเพียงพอ ช่วงล่างให้การตอบสนองที่ดี และอาจถูกจริตสำหรับท่านที่ชอบฟิลลิ่งของช่วงล่างแข็งๆ นิดนึง
ราคา 549,000 บาท รุ่น Long Range Dynamic และ 599,000 บาท รุ่น Long Range Max *ราคานี้มีแค่ 1,000คันแรกเท่านั้น แถมฟรี Wall Charhe มูลค่า 25,000 บาท ท่านใดสนใจอยากทดลองขับไปได้ที่โชว์รูม OMADA&JAECOO ได้แล้ววันนี้