Jaecoo J6T EV หล่อกว่าเดิม..ลุยได้สนุกขึ้น

204 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Jaecoo 6T EV รถไฟฟ้าแนวเอสยูวีตัวลุยที่กลับมารอบนี้พร้อมกับภาพลักษณ์ที่บึกบึนมากขึ้นกว่า J6 EV ที่จัดเต็มด้วยคุณสมบัติในการลุยจากโหมดการขับขี่หลากหลายที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน กับบทพิสูจน์การทดสอบสุดโหดกับสภาพเส้นทางที่จัดเตรียมไว้ มาดูกันซิว่า J6T EV มีหมัดเด็ดขนาดไหน

รูปลักษณ์ภายนอกของ Jaecoo J6T EV นั่นถ้ามองแบบผ่านๆ จะพบว่าโครงสร้างตัวรถเหมือนกับ J6 EV เดิม แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปเห็นจะเป็นเส้นสายด้านข้างของตัวรถที่ดูบึกบึน โป่งล้อขนาดใหญ่ที่ถูกดันเสริมให้ตัวรถดูมีมิติ เสริมภาพลักษณ์ตัวลุยขนานแท้ ชุดกันชนหน้า-หลัง ออกแบบ ให้สอดรับกับเส้นสายของชุดโป่งใหม่รอบคัน กล่องเก็บของท้ายรถมีการดีไซน์ฝาครอบให้มีความโค้งมนมากขึ้นกว่าตัว J6EV


พร้อมกันนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของล้อแม็กให้สวยงามลงตัวกับดีไซน์ของตัวรถที่แข็งแกร่งขึ้น ไซส์ของยางมีการขยับให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม 225/55 R19 มาเป็น 245/55 R19 ทั้ง 4 ล้อ โดยตัวยางเลือกใช้ยี่ห้อ CHAOYANG Radial รุ่น RP76 ความสูงของใต้ท้องรถถึงพื้นถนนสูงขึ้นกว่าตัว J6 EV 200 มม. มาเป็น 225 มม. มุมปะทะด้าหน้า 27 องศา และมุมจากตรงปลายกันชนหลัง 31 องศา ช่วยให้การปีนป่ายในองศาที่ทีมุมชันได้มากขึ้นกว่าเดิม




ภายในห้องโดยสารของ J6T EV มีความละม้ายคลึงกับตัว J6EV ตัวท็อป Long Range AWD จอเรือนไมล์ดิจิตอลขนาด 9.2 นิ้ว แสดงฟังก์ชั่นการทำงานหลักๆ รวมถึงการเปลี่ยนฟังก์ชั่นหน้าจอใช้ปุ่มมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย หน้าจออิงโฟเทนเม้นท์ขนาด 15.6 นิ้ว ที่คอยแสดงผลการทำงาน และปรับฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของตัวรถได้ เชื่อมต่อ Apple Car Play, Android Auto, Bluetooth มาพร้อมกับกล้องรอบคัน 520 องศา ช่วยได้มากโดยเฉพาะเวลาการขับขี่บนเส้นทางออฟโร๊ด หรือทางแคบๆ ได้เป็นอย่างดี



ด้วยดีไซน์ของตัวรถทรงกล่องมีความเป็นเหลี่ยมสันย่อมส่งผลให้พื้นที่ของห้องโดยสารมีความกว้างขวางนั่งสบาย เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทางฝั่งคนขับ และแบบ 4 ทิศทางฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า เบาะผู้โดยสารตอนหลังมีพื้นที่วางขาให้อย่างเหลือเฟือ และตัวเบาะนั่งสามารถพับเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างเหลือเฟือ การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารขณะขับขี่เดินทางไกลความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. เสียงภายในห้องโดยสารค่อนข้างเงียบ จะมีเพียงเสียงลมที่เล็ดลอดเข้ามาบ้างแต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้



ด้านพละกำลังขับเคลื่อนของ J6T EV มาพร้อมกับมอเตอร์ขับเคลื่อน 2 ชุด ให้แรงม้า 279 แรงม้า แรงบิด 385 นิวตัน-ม. ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา โดยแหล่งพลังงานมาจาก แบตเตอรี่แบบ LFP ความจุ 69.77 kWh รับไฟชาร์จกระแสตรง DC ที่ 85 kW(เพิ่มจากตัว J6 EV อีก 5 kW)  และรับไฟชาร์จกระแสสลับ AC ที่ 6.6 kW ชาร์จไฟเต็ม 100% สามารถวิ่งได้ระยะทาง 418 กม.(มาตรฐาน NEDC) ถ้าวิ่งใช้งานจริงๆ จะตกอยู่ที่ 350-370 กม. ส่วนทางด้านอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เครมไว้ที่ 6.5 วินาที


ทางด้านสมรรถนะของมอเตอร์ 2 ชุดนี้ เมื่อมาเจอกับสภาพเส้นทางการทดสอบช่วงแรกขึ้นเนินชันระดับ 30 องศานั่น ตัวรถมีการเลือกใช้โหมดการขับขี่ได้ถึง 6 รูปแบบด้วยกัน สมรรถนะในการไต่เนินชันที่พื้นผิวเป็นดินทราย การกระจายพละกำลัง ระหว่างมอเตอร์ลูกหน้า และลูกหลังนั่น เน้นไปที่พละกำลังของมอเตอร์ลูกหน้าที่มากกว่าลูกหลัง ช่วยดันตัวรถให้ขึ้นเนินชันได้แบบไม่ต้องลุ้น


ต่อมาเจอเนินสลับตรงนี้เป็นจุดที่บอกกันตรงๆ ว่า การเดินคันเร่งให้เนียนๆ เพื่อให้ตัวรถผ่านเนินสลับแบบนุ่มนวลเหมือนกับรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปนั่น ไม่นุ่มนวลเท่า เพราะแรงบิดของมอเตอร์ทั้ง 2 ลูกมีให้ใช้ตั้งแต่กดคันเร่ง ตรงนี้อาจต้องสร้างความคุ้นเคยกับจังหวะการกดคันเร่งพอสมควร



ต่อมากับเส้นทางการลุยบ่อน้ำลึกระดับ 60 ซม.(เท่ากับสเปกของ J6 EV ที่ลุยน้ำลึกได้เต็มลิมิต ส่วน J6T EV ลุยน้ำ 62.5 ซม.) พละกำลังจากมอเตอร์ทั้ง 2 ชุด สามารถพาตัวรถ J6T EV ลุยผ่านบ่อน้ำลึกระดับนี้ได้แบบสบายๆ ทั้งที่ตัวรถใช้ยางแบบ เรเดียลปกติ ยังไม่ใช่ยางแบบ All Terrain ด้วยซ้ำ นอกเหนือสิ่งอื่นใดการพาตัวรถ J6T EV ไปลุยในสภาพเส้นทางธรรมชาติในการทดสอบครั้งนี้ สมรรถนะของตัวรถสามารถพาผ่านอุปสรรค์ และเส้นทางไปได้แบบสบายๆ


ถึงช่วงการเดินทางบนเส้นทางมอเตอร์เวย์กลับเข้าสู่เมืองหลวงช่วงบ่ายแก่ๆ การจราจรเริ่มติดขัดบ้าง เป็นช่วงที่ได้ลองสมรรถนะในเรื่องของอัตราเร่ง J6T EV ที่ทำให้การขับขี่สนุกสนาน การเร่งแซงทำได้ทันอกทันใจ แม้ตัวรถจะเป็นทรงกล่องต้านกระแสลม แต่สมรรถนะไม่ได้ด้อยลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะโหมดการขับขี่แบบ Sport ที่มีการปรับน้ำหนักของพวงมาลัยไฟฟ้าให้ตึงมือขึ้น ช่วยให้จังหวะการโยกเปลี่ยนเลนให้ความมั่นใจผนวกกับระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบ มัลติลิงค์ ที่ปรับจูนใหม่นั่น ส่งผลถึงการขับขี่บนเส้นทางไฮเวย์เป็นเรื่องสนุกสนาน และไว้ใจได้ดีทีเดียว

ส่วนระบบเบรคนั่นตามสไตล์รถไฟฟ้าต้องสร้างความคุ้นเคยกันบ้างในช่วงแรก เพราะจังหวะการทำงานของระบบเบรคค่อนข้างไว(เพราะใช้แวคคั่มช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า) แต่ตัวรถยังไม่ได้ตอบสนองในการชะลอความในทันที อาจต้องเพิ่มน้ำหนักในการกดแป้นเบรค หรือกะระยะในการเบรคสักเล็กน้อย พอคุ้นแล้ว ระบบเบรคถือว่าให้ความไว้วางใจได้ดีระดับนึงเลยก็ว่าได้

บทสรุปจากการทดลองขับ Jaecoo J6T EV ในครั้งนี้ ถือว่าตัวรถได้แสดงสมรรถนะออกมาได้ดี เหมาะสมกับการเป็นรถเอสยูวีที่เน้นลุย การขับขี่บนทางไฮเวย์ และทางลุย ภายใต้โหมดการขับขี่ที่หลากหลาย และชาญฉลาดในการการะจายแรงบิด การปรับจังหวะการทำงานของคันเร่งไฟฟ้า และน้ำหนักของพวงมาลัย ระบบความปลอดภัยของตัวรถถือว่าให้มาพอสมควร ซึ่ง J6T EV จะทำการตลาดเพียงรุ่นเดียว และมาเสริมช่องว่างทางการตลาดของ J6EV ให้ครบครันมากยิ่งขึ้น ทางด้านราคาจะมีการเปิดตัว และราคาในงาน Thailand International Motor Expo 2025 อดในรอสักครู่สำหรับแฟนๆของ Jaecoo J6T EV   

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้