Toyota Hilux Travo ดีกว่าของเดิมในหลายมิติ

111 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ค่ายโตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เรียกเสียงฮือฮาระดับ เวิลด์ พรีเมี่ยม กับการเปิดตัวรถกระบะเชิงพาณิชย์ขนาด 1 ตัน ในเจนเนอเรชั่นที่ 9 ของตระกูล Hilux ที่มียอดจำหน่ายเบียดบี้มากับคู่แข่งตลอดกาลอย่างค่าย อีซูซุ มาอย่างยาวนาน โดยการเปิดตัวของรถกระบะเชิงพาณิชย์ในเจนเนอเรชั่นใหม่ในครั้งนี้ มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ปรับเปลี่ยนใหม่แบบไฉไลกว่าเดิม รวมไปถึงชื่อรุ่น TRAVO ซึ่งมาจากคำว่า Travel และ Voyage สะท้อนแก่นแท้ของการเคลื่อนไหว การสำรวจ และการผจญภัย TRAVO ณ ตอนนี้จะมีเฉพาะตัวยกสูงเท่านั่น และมีรุ่นย่อยออกมาจำหน่ายมากถึง 17 รุ่นย่อย ส่วนตัวตัวเตี้ย ยังคงขาย Revo ตัวเดิมไปอีกอย่างน้อย 1 ปี


Hilux TRAVO กับการปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ ยังคงอินโครงสร้างของหัวเก๋งจากรุ่น Revo ส่วนแชสซีส์ ยังคงใช้ของ Revo แต่ปรับปรุงเสริมความแข็งแรงในหลายๆ จุดให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เรื่องของการดีไซน์ภายนอกมาในแนวของ Cyber Sumo เน้นความแข็งแกร่ง บึกบึน ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light กระจังหน้าลายรังผึ้ง ติดตั้งไฟตัดหมอกทรงกลมขนาดเล็กไว้ที่ชายด้านล้างของกันชนหน้า ด้านท้ายดีไซน์ใหม่ มาพร้อมกับบันไดเหยียบข้างกระทะท้าย บันไดด้านข้างดีไซน์ใหม่ ฝาท้ายติดตั้งระบบช่วยผ่อนแรงขณะเปิด-ปิด พื้นลายรังผึ้ง Hexagon รุ่น Overland มีการติดตั้งสปอร์ตบาร์ เสริมความแข็งแกร่งให้กับกระบะท้าย ตัวไฟท้ายเป็นแบบ LED สีสันตัวมีให้เลือกสีน้ำตาล/ ส้ม Sulfer Metalic, สีเทา Ash Grey

 

ภายในห้องโดยสารขนาดของพื้นที่จริงๆ ยังเท่ากับตัว Revo เดิม ห้องโดยสารออกแบบตามคอนเซ็พท์ Robust Simplicity เน้นความสะดวกสบายในการใช้งาน หลายท่านอาจไม่คุ้มกับดีไซน์ของภายในห้องโดยสารที่ฉีกแนวไปจากเดิม โดยเน้นความเหลี่ยมสัน และมีกลิ่นอายของรถตรวจการณ์พันธุ์หรู Land Cruiser คอนโซลหน้าบางจุดมีการหุ้มหนังสังเคราะห์ Softex และยังออกแบบให้มีช่องวางแก้วพร้อมฝาปิดแบบ Pop-Up บริเวณช่องแอร์ทางด้านฝั่งคนขับ และฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าหน้าจอเรือนไมล์แบบดิจิตอล ขนาด 12.3 นิ้ว ให้ความคมชัด และซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานของตัวรถหลักๆ ไว้ค่อนข้างจะครบครัน หน้ากลางแบบทันสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว เท่าจอเรือนไมล์ เชื่อมต่อ Apple Car Play, Android Auto พร้อมกล้อง Panoramic View Monitor (PVM) 360 องศา


พวงมาลัย 3 ก้าน สไตล์เดียวกับ Land Cruiser พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่น ปรับได้ 4 ทิศทาง ตัวก้านของพวงมาลัยมีขนาดเล็กไปสักนิด แต่ยังดีออกแบบให้มีกริ๊ปของตำแหน่ง 3 และ 10 นาฬิกา เลยช่วยให้จับได้ถนัดมากขึ้น บริเวณคอนโซลกลาง มีช่องเสียบชาร์จไฟ USB Type A-C และอุดมไปด้วยเหล่าสวิทช์การทำงานต่างๆ โดยเฉพาะรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 TREX  ที่มีปุ่มเลือกโหมดการขับเคลื่อน 2H, 4H, 4L มีปุ่มปรับโหมดการขับขี่ MTS(Multi-Terrain Select) ได้ถึง 5 โหมดด้วยกันประกอบด้วย Dirt, Sand, Mud, Rock และ Deep Snow ใกล้ๆ กันก็มีปุ่ม Rear Diff Lock, ปุ่ม HDC, ปุ่มปิด Traction Control, ปุ่ม Auto Hold ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ตรงปุ่มปรับโหมดการขับขี่จะเปลี่ยนเป็นปุ่มกดปรับโหมด Eco, Normal, Sport


คอนโซลเกียร์จัดวางชุดสวิทช์เบรคมือไฟฟ้า และ Auto Hold ไว้ทางด้านขวาชิดกับคนขับ ส่วนชุดคันเข้าเกียร์โยกไปไว้ทางด้านซ้ายมือ เหนือคันเกียร์จะมีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ถัดลงมาจากคันเกียร์จะเป็นที่วางแก้ว 2 ช่อง เท้าแขนมีขนาดใหญ่วางพักแขนได้พอดีขณะขับขี่เป๊ะ ด้านหลังของคอนโซลกลางจะมีช่องแอร์ด้านหลังเพื่อการกระจายความเย็นให้ผู้โดยสารตอนหลัง


เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบใหม่ตามหลักสรีระศาสตร์ Ergonomic Seat ในรุ่น Overland ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางฝั่งคนขับ และฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับอัตโนมือ 4 ทิศทาง เบาะนั่งของ TRAVO ออกแบบมาให้นั่งสบายกว่ารุ่น Revo เดิมพอควร และยิ่งฝั่งคนขับมีการปรับตำแหน่งของแป้นเบรคให้มาอยู่เกือบกึ่งกลางของพวงมาลัย ทำให้การคอนโทรลแป้นเบรคได้ดียิ่งขึ้น แต่ข้อเสียคือ ระยะห่างของแป้นเบรคกับแป้นคันเร่งห่างเกินไปนิด ทำให้การขยับข้อเท้าจากแป้นคันเร่งมาแป้นเบรคแทนที่จะขยับเพียงข้อเท้า กลายมาเป็นต้องยกเท้าเพื่อขยับตำแหน่งในการเหยียบแทน



ที่นั่งโดยสารตอนหลังเท่าที่ลองขึ้นไปนั่ง พบว่าทางวิศวกรของโตโยต้า ได้มีการปรับองศาของพนักพิงให้เอนมากกว่าในรุ่น Revo ทำให้ผู้โดยสารนั่งสบายขึ้นกว่าเดิมในขณะเดินทางแต่กลับกัน ในส่วนของพื้นที่วางขากลับเหลือน้อยลง เพราะพนักพิงเบาะปรับองศาให้เอนเพิ่มขึ้นก็จริงอยู่ แต่เบาะที่เป็นส่วนรองนั่งต้องขยับเดินหน้าตามออกมา ย่อมส่งผลให้พื้นที่วางขาต้องขยับเดินหน้าไปจากเดิมด้วย เบาะนั่งทั้งหน้า-หลังนั่งสบายด้วยหนังหุ้มแบบ Softex


เครื่องยนต์ของ Hilux TRAVO ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซลบล็อกยอดนิยม 1GD-FTV ที่ยกมาจากตัว Revo พื้นฐานเครื่องเป็นแบบแถวเรียง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงคอมมอนเรล และหัวฉีด i-Art ที่สามารถฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับการปรับจูนกล่อง ECU เล็กน้อย ในเรื่องของการตอบสนองของขับคันเร่งให้ไวขึ้นกว่าในตัว Revo พร้อมกับย้ายย้านของแรงบิดมาให้ที่นอบการทำงานของเครื่องยนต์ไวขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้มีแรงม้า 204 ตัว ที่รอบเครื่องยนต์ 3,000-3,400 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตัน-ม. ที่รอบเครื่องนต์ 1,600-2,800 รอบต่อนาที ซึ่งแรงบิดของเครื่องยนต์จะมาในรูปแบบของ Flat Torque ทีย่านกำลังให้ใช้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะเวลาปีนป่ายสิ่งกีดขวาง หรือทางลาดชันมากๆ


เท่าที่ได้ลองสัมผัสพละกำลังของเครื่องยนต์ถือว่า การปรับจูนกล่อง ECU มาใหม่นั่น ให้การตอบสนองของคันเร่งที่ดีขึ้นกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ ทำให้จังหวะเร่งออกตัว หรือเร่งแซงทำได้ทันอกทันใจมากยิ่งขึ้น เสียงของเครื่องยนต์ถือว่าเงียบลงกว่าในตัว Revo ประมาณ 5-7% เช่นเดียวกับอัตราสิ้นเปลืองทางโตโยต้าเครมไว้ว่าประหยัดกว่าตัว Revo 5%


ทางด้านระบบส่งกำลังของ TRAVO ยังคงเลือกใช้ระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ(รุ่น 4 WD หัวเดี่ยว, รุ่น Prerunner 2 WD) และอัตโนมัติ 6 จังหวะ(รุ่น Prerunner 4 WD และ Overland 4 WD) อัตราทดเกียร์ยังคงเหมือนกับตัว Revo แม้กระทั่งเฟืองท้าย ซึ่งเท่าที่ได้สัมผัสในรุ่น Overland ความไหลลื่นของเรื่องอัตราเร่ง และความสมูทในการต่อเกียร์ ความเร็วในขณะเดินทางช่วง 100-120 กม./ชม. ให้สมรรถนะที่ดีขับสนุก จังหวะเร่งแซงการรอรอบของเครื่องยนต์ และจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ถือว่ามีน้อยมาก ตอบสนองแทบจะทันท่วงที


ส่วนในเรื่องของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ได้ลองกับสภาพเส้นทางที่ทุรกันดานนั่น การจัดสรรพแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 จากระบบขับเคลื่อน 4 TREX นั่น ถือว่าทำได้ดี เพราะการติดตั้งระบบตัวช่วยต่างๆ อาทิ Diff Lock แถมยังมี Auto Limited Slip Differential ช่วยแก้ไขเวลาที่รถเกิดอาการติดหล่ม แถมยังมีระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบแอคทีฟ A-TRC(Active Traction Control) ช่วยปรับกำลังของเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มการยึดเกาะ และผ่องถ่ายกำลังไปยังแต่ล่ะล้ออย่างเหมาะสม โดยเฉพาะที่เวลาเราทดสอบบนสถานีเนินสลับอันนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องของการถ่ายทอดพละกำลังไปยังล้อต่างๆ อย่างเหมาะสม ส่วนโหมดการขับขี่จะยิ่งช่วยให้มือใหม่สามารถขับผ่านอุปสรรค์เส้นทางต่างๆ ได้อย่างสบายๆ  


ระบบกันสะเทือนของ Hilux TRAVO ยังคงใช้เลย์เลย์เอ้าท์แบบเดียวกับ Revo แต่ก็ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากเดิมในหลายๆ จุด เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dynamic Cloud ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการทรงตัว และเพิ่มความนุ่มนวลให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสมรรถนะและความสะดวกสบายในทุกมิติ ยกตัวอย่างเช่น โครงสร้างหัวเก๋งมีการเพิ่มจุดเชื่อมพื้นตัวถัง เพื่อความแข็งแกร่งของห้องโดยสารช่วยในเรื่องการทรงตัว


ตัวช็อคอัพด้านหน้า เปลี่ยนจุดยึดน็อตเบ้าช็อคอัพหน้าจาก น็อต 3 ตัว มาเป็น น็อต 4 ตัวคอยล์สปริงมีการปรับเซ็ทค่า K หรือ ค่าความแข็งของสปริงใหม่ เหล็กกันโคลงมีการปรับขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าของเดิมอีกเล็กน้อย ส่วนด้านหลังปรับปรุงในเรื่องของ แผ่นแหนบใหม่ โดยจัดชุด แผ่นแหนบ 4 แผ่น ส่วนตัวช็อคอัพทั้ง 4 ต้น เป็นแบบ Twin Tube เท่าที่ได้ลองสัมผัสระบบกันสะเทือนชุดนี้บอกได้เลยว่า ดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก มีความนุ่มนวลขึ้น เวลาเจอทางขุรขระท้ายไม่มีอาการดีดดิ้นเหมือนเก่าก่อน ระยะยืด-ยุบของช่วงล่างเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อย เวลาเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลนในขณะใช้ความเร็ว อาการโคลงของตัวรถมีน้อยลงกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ ทำให้เกิดความมั่นใจในการขับขี่ด้วยความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม



ระบบบังคับเลี้ยวในรุ่น Overland และ Overland Plus จะได้ชุดแร็คเพาเวอร์ EPS ซึ่งน้ำหนักของพวงมาลัยจะแปรผันตามความเร็ว แต่เอาเข้าจริงๆ กลับรู้สึกว่า ออกจะเบาเกินไปนิดหน่อยความเร็วระดับ 100-120 กม./ชม. ยังให้ความรู้สึกที่เบาแต่ไม่โหวงเหวง ขับแล้วยังไม่เครียดเท่าใดนัก


ระบบเบรคในรุ่น Overland จะให้มาเป็น ดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ นับว่าเป็นรถกระบะเชิงพาณิชย์ในเมืองไทยเจ้าแรกเลยก็ว่าได้(เจ้าที่ 2 ที่ให้ ดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ เป็น GWM Pore Diesel) ประสิทธิภาพของระบบเบรคชุดนี้ ทางโตโยต้า เซ็ทออกมาได้ดีพอตัว การทำงานตอบสนองค่อนข้างไว ทำให้เกิดความมั่นใจในการขับขี่ได้ดีขึ้นกว่า Revo แถมยังทำให้สาวกโตโยต้าไม่ต้องไปนั่งแปลงระบบเบรคหลังจากดรัมมาเป็นดิสค์อีกด้วย


ส่วนเรื่องระบบความปลอดภัยอื่นๆ รอบนี้ทางโตโยต้า ถือว่าจัดเต็มมากเลยทีเดียวสำหรับรถกระบะเชิงพาณิชย์ เล่นเอาคู่แข่งมีเคืองกันเลยทีเดียว ซึ่งระบบความปลอดภัยที่มีมาให้นั่นอาทิ ถุงลมนิภัย 6 ตำแหน่ง, กล้องรอบคัน, ระบบช่วยเตือนมุมอับของกระจกมองข้าง BSM พร้อมระบบช่วยเตือนในขณะถอยรถ RCTA, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมระบบ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All Speed

ระบบช่วยเตือน พร้อมช่วยเบรคอัตโนมัติ PKSB ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง, ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย Trailer Sway Control, ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ พร้อมระบบ Auto High Beam, ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Alert และระบบ Pre-Collision System รวมไปถึงโครงสร้างบอดี้ GOA อันเลื่องชื่อของ โตโยต้า


บทสรุปการเปิดตัว และได้มีโอกาสทดลองสมรรถนะของ TOYOTA Hilux TRAVO ครั้งนี้ ถือว่าทาง โตโยต้า ทำการบ้านมาได้ดีทีเดียว ในเรื่องของการปรับปรุงสมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน และระบบช่วยการขับขี่ที่จัดเต็มไม่แพ้คู่แข่งในคลาสเดียวกัน การเซ็ทติ้งระบบกันสะเทือนให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ระบบความปลอดภัยที่ให้มาเต็มพิกัด กับราคาเปิดตัวในรุ่น Smart Cab 6 MT 4TREX ราคา 767,000 บาท และรุ่น Overland Plus Double Cab 6AT 4TREX ราคา 1,366,000 บาท รวมทั้งรุ่น TRAVO-e ครั้งแรกของเมืองไทยกับรถกระบะไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีแชสซีส์กับราคา 1,491,000 บาท สนใจชมรถตัวจริง และทดลองขับ Hilux TRAVO ได้แล้วที่โชว์รูม โตโยต้า ทั่วประเทศ     

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้